การทำธุรกิจ แน่นอน คือการสร้างผลกำไร และลดต้นทุน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากที่สุดในการทำงาน ทำให้ธุรกิจนั้นถูกสั่งสอนหรือมีแนวความคิดที่ว่ากำไรนั้นมาก่อน หรือรายได้นั้นมาก่อน แล้วเรื่องอื่นว่ากันทีหลัง ทำให้หลาย ๆ ธุรกิจนั้นทำธุรกิจในรูปแบบที่ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม ทำลายสิ่งแวดล้อม ใช้แรงงานเด็ก หรือทำการตลาดและธุรกิจโดยไม่สนใจว่าผู้บริโภคจะแคร์อะไรขึ้นมา ซึ่งสุดท้ายผลกระทบนั้นไม่ได้ไปไหน แต่กลับมาหาธุรกิจที่ดำเนินงานเช่นนี้เอง จนไม่สามารถทำธุรกิจต่อไปได้
ธุรกิจถูกสร้างขึ้นเพื่อผลตอบแทนอันคุ้มค่า โดยผลตอบแทนนั้นต้องทำให้ผู้ลงทุนและพนักงานพอใจ ซึ่งแน่นอนเพื่อที่จะทำให้คนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจพอใจได้ทำให้ธุรกิจนั้นต้องพยายามสร้างผลกำไรมหาศาลอย่างมากนั้นเพื่อที่จะตอบแทนนักลงทุนที่หวังผลตอบแทนในปริมาณทวีคูณจากที่ลงทุนไป หรือพนักงานเองที่ต้องการผลตอบแทนในรูปโบนัส หรือเงินเดือนที่เพิ่มในปีต่อปี ทำให้ธุรกิจนั้นต้องหาทางที่จะสร้างเม็ดเงินออกมาให้ได้มากที่สุดทุก ๆ ช่องทาง ซึ่งในยุคนี้ด้วยการใช้ข้อมูลมากมาย หรือการตรวจสอบข้อมูลบัญชีทำให้องค์กรธุรกิจนั้นสามารถรู้ได้ว่า ช่องโหว่ของธุรกิจนั้นอยู่ตรงไหน จะสามารถอุดรอยรั่วตรงไหน หรือปิดช่องว่างตรงไหนให้ดีขึ้นด้วย ซึ่งทำให้เราจึงเห็นการลดขนาดแผนกที่ไม่ทำกำไรลง เพิ่มแผนกทำกำไรเพิ่มขึ้น หรือลดบริการบางอย่างลง หรือเพิ่มราคาเพื่อจ่ายค่าบริการให้เพิ่มขึ้น สิ่งทีเกิดขึ้นตามมาคือการที่หลาย ๆ อย่างนั้นเป็นธุรกิจที่มากเกินไป จนไม่ใส่ใจในเรื่องความเป็นมนุษย์และความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นของมนุษย์ขึ้นมา
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการบริการของศูนย์บริการต่าง ๆ ที่สินค้าหลาย ๆ สินค้าที่เมื่อขายสินค้าไปแล้ว ก็ไม่สนใจดูแลลูกค้าต่อ เมื่อเกิดปัญหาก็ทิ้งลูกค้าทันที หรือมาที่ศูนย์บริการก็ได้การบริการที่แย่ ๆ กลับไป ทำให้ประสบการณ์ของลูกค้านั้นแย่มาก ซึ่งบางทีก็ทำโปรโมชั่นหรือกิจกรรมส่งเสริมการขายที่ไม่ได้คิดถึงใจของคนที่ซื้อสินค้าไปก่อนหน้า และเกิดปัญหาทันทีเมื่อลูกค้าที่ซื้อทีหลังได้สิทธิ์ที่ดีกว่า หรือมีการลดราคา เพิ่มของแถมหลังจากขายได้ไม่นาน ทำให้เกิดการฟ้องร้องขึ้นมาแล้วและก็ต้องตามแก้ปัญหากันต่อไป ซึ่งบางบริษัทจะชอบคิดว่าปัญหาพวกนี้จะหายไป เพราะคนไทยขี้ลืม แล้วเมื่อมีสินค้าใหม่ก็จะซื้อใหม่แทนของเก่ากันไป ซึ่งเป็นแนวคิดที่ไม่ยั่งยืนในการทำธุรกิจอย่างมากในปัจจุบัน ทั้งนี้ด้วยยุคนี้ที่เกิดแบรนด์ต่าง ๆ มากมาย ทำให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกที่จะเลือกแบรนด์ไหนก็ได้ตามใจตัวเอง ประกอบกับผู้บริโภคยุคใหม่ ๆ สนใจว่าแบรนด์นั้นจะสามารถช่วยโลกหรือทำให้โลกนั้นดีขึ้นอย่างไร เพราะคนยุคใหม่ โดยเฉพาะ Gen Z และ Alpha Gen นั้นมีความห่วงใยในอนาคตของตัวเองมาก จากการที่เห็นสภาพแวดล้อมและสังคมของโลกนั้นเปลี่ยนแปลงอย่างมากมาย (ในทางที่แย่ลง) จึงอยากที่จะช่วยเหลือโลกอีกทางหนึ่งโดยการเลือกใช้สินค้าและบริการจากแบรนด์ที่สามารถหรือมีความห่วงใยในการรักษาหรือดูแลโลกให้ดีขึ้นอีกทางหนึ่งด้วย นอกจากที่ต้องห่วงใยโลกแล้ว ผู้บริโภคยุคใหม่ยังสนใจแบรนด์ที่มีความเห็นอกเห็นใจคนอื่น และแบรนด์ที่เข้าใจจิตใจผู้อื่นอีกด้วย ทำให้แบรนด์ที่มีสิ่งเหล่านี้จะมีโอกาสอย่างมากที่จะถูกสนับสนุนจากผู้บริโภคออกไป
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่ผ่านมาคือการที่สายการบินหนึ่ง ที่ทราบว่าผู้โดยสารตัวเองที่กำลังมีญาติเสียชีวิต ทั้งที่เครื่องบินนั้นออกเดินทางขึ้นไปบนอากาศแล้ว ก็ได้วกเครื่องบินกลับมายังที่สนามบิน พร้อมมีเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือนำส่งผู้โดยสารนั้นไปยังโรงพยาบาลเพื่ออยู่ในช่วงเวลาสุดท้ายของญาติที่กำลังจะเสียชีวิต หรืออีกกรณีหนึ่งที่สายการบินไทยจะบินผ่าน Ayers Rock ซึ่งปกติสายการบินทุกสายการบินจะบินข้ามภูเขาหินนี้ไปเลย แต่วันนั้นนักบินสายการบินไทยตัดสินใจขออนุญาตบินอ้อมเพื่อให้ผู้โดยสารในเครื่องบินได้เห็นภูเขา Ayers Rock นี้ในวันปีใหม่ เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ทุกคน ซึ่งจริง ๆ กัปตันไม่ต้องทำการบินอ้อมเพื่อให้เกิดค่าใช้จ่ายเพิ่มก็ได้ แต่เมื่อบินอ้อมกลับสร้างความประทับใจให้ผู้โดยสารรายหนึ่งอย่างมาก ซึ่งเรื่องราวทั้งคู่นี้แสดงให้เห็นถึงการใช้ใจในการทำธุรกิจ มากกว่าการทำธุรกิจแบบตรง ๆ มากกว่า ยอดลดกำไรลง เพื่อสร้างความประทับใจเพิ่มขึ้นให้ผู้ใช้บริการหรือผู้บริโภค สิ่งที่เกิดขึ้นคือประสบการณ์ที่จะจดจำไปตลอดชีวิต และการบอกต่ออีกมากมายที่สุดท้ายแล้วน่าจะมากกว่าสิ่งที่สูญเสียไปจากกำไรที่ลดลงนั้นอีกด้วย
ธุรกิจที่เกิดขึ้นใหม่ในยุคนี้จึงมีแนวคิดยุคใหม่ที่สร้างผลกำไรที่ต้องมีความสมดุลกับความเป็นมนุษย์ขึ้นมา ผลกำไรไม่ใช่ทุกสิ่งเหมือนในอดีต แต่เป็นความยั่งยืนขององค์กรและสังคมที่ต้องไปควบคู่กัน เพระาฉะนั้นเมื่อจะทำการตลาดหรือจะดำเนินการอะไรสักอย่างในองค์กรเหล่านี้ เขาจะคิดถึงผลกระทบทั้งหมดว่าใครได้ ใครเสียอะไรบ้าง และพยายามที่จะทำให้ทุกฝ่าย Win ทั้งหมด โดยการเอาใจเขาไปใส่ใจเรา และเข้าใจทุกฝ่ายว่าจะต้องเจออะไร
การเข้าใจความเป็นมนุษย์นั้นเป็นเรื่องสำคัญอย่างมากในยุคนี้ เพราะมนุษย์นั้นเป็นตัวกำหนดว่าจะใช้หรือไม่ใช้สินค้าและบริการ หรือจะเอาไปบอกต่อหรือไม่บอกต่อ ธุรกิจในยุคนี้ขึ้นกับการสร้างสัมพันธ์กับผู้บริโภคอย่างมาก และธุรกิจไหนที่ไม่สามารถซื้อใจผู้บริโภคได้ก็ไม่อาจอยู่รอดได้ในยุคที่ผู้บริโภคเป็นใหญ่เช่นนี้