Leadership หรือความเป็นผู้นำไม่ใช่สิ่งที่จะเรียนรู้กันได้ง่ายๆ แต่แน่นอนว่าเราสามารถมองและเรียนรู้ได้จากผู้มีประสบการณ์และนำมาปรับใช้กับวิธีการบริหารงานของเราได้ ซึ่ง Marketing Oops! ได้มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษคุณ Paul Burton ผู้ดำรงตำแหน่ง General Manager ของ IBM ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยคุณ Paul ได้มาพูดคุยเกี่ยวกับการเป็นผู้นำ ในฐานะผู้บริหาร IBM ยาวนานกว่า 18 ปีดูแลพนักงานมากกว่า 100,000 คนใน 15 ประเทศ รวมไปถึงในฐานะคนที่มีประสบการณ์เป็นทหารในกองทัพ เป็นนักบินมากประสบการณ์ และมีงานอดิเรกเป็นนักดำน้ำในถ้ำว่ามีแนวคิดในการนำพาองค์กรในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในยุคปัจจุบันอย่างไร
Leadership สร้างแรงบันดาลใจ
คุณ Paul เริ่มต้นด้วยการให้ความหมายของ Leadership หรือ “ความเป็นผู้นำ” เอาไว้ว่าโดยทั่วไปนั้นหมายถึงการทำให้คนเดินไปในทิศทางเดียวกันสู่เป้าหมายที่มีร่วมกัน ต้องมีความสามารถทำให้คนเหล่านั้นเดินไปในทิศทางเดียวกันได้เพื่อประสบความสำเร็จในสิ่งที่คนใดคนหนึ่งไม่สามารถทำให้สำเร็จด้วยตัวคนเดียวได้
และสำหรับที่ IBM การเป็นผู้นำที่ไม่ใช่สำหรับคุณ Paul เท่านั้นแต่กับผู้นำ IBM ทุกๆคนก็คือการทำอย่างไรให้คนมากกว่า 100,000 คนนั้นเดินไปในทิศทางเดียวกันสู่เป้าหมายใดเป้าหมายหนึ่งและให้พวกเขาได้มีส่วนร่วมเดินทางสู่ความสำเร็จนั้น และผู้นำต้องสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนเหล่านี้ด้วย
Leadership is Thinking Person’s Game
คุณ Paul เล่าว่าประสบการณ์ของการเป็นทหารในกองทัพสหรัฐในช่วงทศวรรษที่ 90, การเป็นนักบินมากประสบการณ์ และการเป็นนักดำน้ำในถ้ำนั้นมีส่วนในการเป็นผู้นำของคุณ Paul อย่างมากเพราะประสบการณ์ทั้ง 3 สิ่งนี้จำเป็นที่จะต้องมีการวางแผนเป็นอย่างดี ต้องคิดวิเคราะห์สถานการณ์ ใส่ใจในรายละเอียดและต้องการการฝึกฝนอย่างช่ำชอง ซึ่งคุณ Paul ย้ำเสมอว่า Leadership ก็คือคือ Thinking person’s game คือเป็นเกมของคนที่คิดวางแผนและวิเคราะห์ทุกสถานการณ์ล่วงหน้าแล้วนั่นเอง
“หากคุณเป็นผู้นำธุรกิจ คุณกำลังทำงานกับลูกค้า คุณกำลังทำบางสิ่งให้สำเร็จในตลาด คุณต้องคิดถึงสิ่งที่จะสำเร็จและสิ่งที่อาจจะผิดพลาด คิดถึงวิธีการที่จะตอบสนองต่อสิ่งนั้น ไม่ว่าจะเป็นการแก้ปัญหา ทักษะอะไรที่ต้องการจากทีม มันมีกระบวนการคิดมากมายที่เข้ามาเกี่ยวข้อง” คุณ Pual เล่า
เปิดโอกาสให้คนได้เรียนรู้
การเป็นผู้นำสิ่งที่สำคัญในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปทุกวันก็คือการสนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้ ซึ่งคุณ Paul ก็มีแนวทางสนับสนุนให้คนในองค์กรมีวัฒนธรรมในการเรียนรู้สิ่งใหม่ด้วยการลงทุนเพื่อตัวเองและให้เวลากับการเรียนรู้เหล่านั้น
“ผมสนับสนุนให้ทุกๆคนใช้เวลาราวๆ ครึ่งวันต่อสัปดาห์ในการเรียนรู้อะไรย่างอย่างเช่น อ่านหนังสือ หรือไปเข้าคลาสออนไลน์ หรือนัดคุยกับใครที่มีความรู้และอยากเรียนรู้ให้เขาช่วย ดังนั้นผมจึงผลักดัน 2 สิ่งคือ 1 ผลักดันให้ทุกๆคนเรียนรู้และ 2 ผลักดันให้ทุกคนได้ช่วยให้เพื่อนได้เรียนรู้ ซึ่งก็ต้องเปิดช่องว่างให้พวกเขาได้ทำสิ่งเหล่านี้ได้จริงๆ” คุณ Paul ระบุ
คุณ Pual เล่าด้วยกว่าอีกหนึ่งแนวคิดคิดที่มักจะใช้เสมอก็คือ “ผมชอบที่จะเป็นคนที่โง่ที่สุดในห้อง” เพราะว่า “คนจะไม่สอนอะไรผมหรอก แต่ถ้าผมรายล้อมไปด้วยคนฉลาดๆ ผมจะได้เรียนรู้มากมาย ดังนั้นผมจึงอยากเป็นคนที่โง่ที่สุดในห้อง เพื่อที่ผมจะได้เรียนรู้อะไรบางอย่างเสมอ”
ทุกการตัดสินใจอธิบายได้ด้วยเหตุผล
เมื่อพูดถึงเรื่องการตัดสินใจที่ยากลำบาก นั่นหมายถึงการตัดสินใจที่กระทบกับคนไม่ว่าจะเรื่องตำแหน่งงาน การจ้างงาน การลดตำแหน่งงาน เหล่านี้เป็นเรื่องที่ตัดสินใจยากเสมอโดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่มีหลากหลายประเทศหลากหลายมุมมอง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดเบื้องหลังการตัดสินใจที่ยากลำบากเหล่านี้ก็คือคุณต้องตัดสินใจอย่างมีเหตุมีผล มีคำอธิบายว่าคุณกำลังทำอะไร เพราะอะไร และทุกอย่างต้องทำอย่างโปร่งใส
“อธิบายว่าที่ทำแบบนี้เพราะมีความเชื่อมโยงกับผลประโยชน์อันชอบธรรมที่จะเพิ่มยอดขาย เพิ่ม productivity ลดต้นทุน เพิ่มผลกำไร ทำให้ลูกค้าพอใจ เชื่อมโยงเหตุผลกับผลลัพท์เหล่านี้ให้ได้ ทำให้พวกเขาเข้าใจว่าสิ่งที่คุณทำนั้นไม่ใช่เรื่องส่วนตัว และคนส่วนใหญ่เมื่อพวกเขาเข้าใจสิ่งที่คุณทำพวกเขาจะปรับตัวกับสิ่งนั้น” คุณ Paul เล่า และว่า ถ้าหากมันเป็นการทำตามอำเภอใจมีเหตุผลส่วนตัวและไม่สามารถอธิบายเหตุผลได้มันจะทำให้คุณสูญเสียความเชื่อมั่น สูญสิ้นความเชื่อถือในฐานะผู้นำไปในที่สุด
ความล้มเหลวที่ดีคือความล้มเหลวที่ได้เรียนรู้จากมัน
คุณ Paul เล่าถึงการรับมือกับความล้มเหลวเอาไว้ด้วยว่า ความล้มเหลวจริงๆก็มีเรื่องดี โดย “ความล้มเหลวที่ดีก็คือความล้มเหลวที่คุณได้เรียนรู้จากมัน และความล้มเหลวที่แย่ก็คือความล้มเหลวที่คุณยังคงล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำอีก”
แม้คุณ Paul จะบอกว่าตนเกลียดความล้มเหลว และไม่อยากจะล้มเหลวเรื่องใหญ่ๆเพราะมันมีมูลค่ามหาศาลและเจ็บปวดมากๆ แต่คิดในอีกแง่ว่าคนเราล้มเหลวในเรื่องเล็กๆน้อยๆในทุกๆวัน และสิ่งนี้หากเราได้เรียนรู้จะทำให้เราเป็นคนที่ดีขึ้นในทุกๆวัน และที่สำคัญก็คืออย่าล้มเหลวโดยยังไม่ได้พยายาม และอย่าล้มเหลวโดยไม่ได้เตรียมตัวอย่างดีแล้ว
Digital Transformation
นอกจากการเป็นผู้บริหาร IBM แล้วคุณ Paul ยังมีประสบการในการทำ Digital Transformation มามากมายด้วยเช่นกันซึ่งสิ่งที่คุณ Paul เน้นย้ำสำหรับองค์กรที่กำลังเริ่มต้นทำ Digital Transformation ก็คือการวางรากฐานโครงสร้างข้อมูลให้แข็งแรงและมั่นคง และเทคโนโลยีที่เปิดกว้างไม่สร้าง Technical Debt หรือไม่ควรลงทุนกับเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์เฉพาะวันนี้ แต่ต้องตอบโจทย์กับอนาคตได้ด้วย และสามารถ Scale ได้ง่าย เช่นการเดินหน้าไปสู่ระบบ Cloud ที่สามารถ Scale ได้ในเวลาไม่กี่นาทีไม่ต้องซื้ออุปกรณ์ ซื้อซอฟท์แวร์ และจ้างที่ปรึกษาที่ต้องใช้เวลานานเป็นเดือนเป็นต้น
นอกจากนี้สิ่งสำคัญสำหรับองค์กรที่จะทำ Digital Transformation ให้ประสบความสำเร็จก็คือต้องเข้าใจโมเดลธุรกิจของตัวเองอย่างแท้จริง เข้าใจในทุกกระบวนการของธุรกิจ และอะไรคือสิ่งที่สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า และหันมาดูว่าเทคโนโลยีอะไรที่จะตอบโจทย์สิ่งนั้นได้
AI ตอบโจทย์โลกธุรกิจ เร็ว-ลดต้นทุน-ยืดหยุ่น
มุมมองของคุณ Paul ที่มีต่อเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ก็คือเทคโนโลยีที่จะตอบโจทย์โลกธุรกิจในเรื่องพื้นฐาน 3 อย่างก็คือ ความเร็ว, ลดต้นทุน และ ความยืดหยุ่นปรับตัวง่าย โดยความเร็วสามารถเกิดขึ้นได้ด้วยการทำ Automation ทำให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงานสามารถนำคนออกจากกระบวนการที่ช่วยลดต้นทุนลงได้ และทำให้เกิดคามยืดหยุ่นเพราะไม่ต้องเกิดปัญหาที่เกิดขึ้นจากมนุษย์ได้ ในขณะที่ AI จะเข้ามาช่วยตัดสินใจในการทำ Automation จากข้อมูลที่แตกต่างกันออกไป
ซึ่งคุณ Paul ยืนยันว่าแรงงานไม่ต้องกลัว AI เพราะเมื่อ AI มารับภาระหน้าที่แทนมนุษย์แล้วคนที่ทำหน้าที่เหล่านั้นก็สามารถพัฒนาทักษะใหม่ๆและทำหน้าที่อื่นๆต่อไปได้เปรียบได้กับการเกิดขึ้นของเครื่องปั่นฝ้ายเมื่อ 250 ปีก่อนรวมไปถึงการกำเนิดของแทนพิมพ์เมื่อ 7-800 ปีก่อนนั่นเอง
AI, Cloud และ Quantum เทคโนโลยีเปลี่ยนโลก
เมื่อมองไปที่เทคโนโลยีที่จะมาเปลี่ยนแปลงโลกธุรกิจในอีก 5-10 ปีข้างหน้าคุณ Pual ระบุว่าคือเทคโนโลยี AI, Cloud Computing และ Quantum Computing โดยเฉพาะ Quantum Computing ที่จะสามารถพัฒนาในเชิงพาณิชย์ได้ในอีก 1-3 ปีข้างหน้านี้ จะเป็นเทคโนโลยีที่ทำในสิ่งที่ Computer แบบเดิมๆทำไม่ได้ นำไปสู่การค้นพบทางเคมี พัฒนาการเรื่องวัสดุศาสตร์ การค้นพบทางยา และการทดสอบยารักษาโรคใหม่ๆเป็นต้น
นอกจากนั้น Hybrid Cloud ก็จะเป็นเทคโนโลยีสำคัญที่จะช่วยแก้ปัญหากับเทคโนโลยีที่ต้องพึ่งพิง data center ในยุคปัจจุบันลง ในขณะที่ AI ก็จะมาทำงานประมวลผลข้อมูลที่มีมากมายมหาศาลแทนมนุษย์ ส่วนมนุษย์ที่เดิมต้องมีความรู้ศาสตร์ใดศาสตร์หนึ่งที่ลึกมากๆ จะต้องปรับตัวเป็นการมีคามรู้ที่กว้างมากกว่าเดิมเพื่อวิเคราะห์และแปลผลลัพธ์จากสิ่งที่ AI ประมวลผลออกมาอีกทอดหนึ่ง
เปลี่ยนผ่านสู่ Technology Company เผชิญความท้าทาย
ในอนาคตความท้าทายสำคัญสำหรับโลกธุรกิจก็คือข้อมูลมหาศาลที่จะหลั่งไหลเข้ามาและข้อมูลเหล่านี้ผู้นำจะต้องนำไปใช้ในการตัดสินใจในเรื่องต่างๆ และจะต้องทำให้เร็วขึ้นให้ทันกับอุตสาหกรรมที่เดินหน้าไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นคุณ Paul จึงมองว่าทุกบริษัทในยุคนี้จำเป็นจะต้องเป็น Technology Company เพราะไม่ว่าจะผลิตสินค้า หรือบริการ จะมี Technology เข้าไปมีส่วนร่วมด้วยเสมอ ดังนั้นหากคุณใช้เทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพก็จะช่วยให้คุณชนะในการแข่งขันได้ทั้งเรื่องความเร็วรวมถึงต้นทุนที่ลดลง
“ดังนั้น CEO และผู้บริหารจะต้องคิดอย่างจริงจังว่าจะส่งมอบคุณค่าให้กับลูกค้าอย่างไรและจะใช้เทคโนโลยีมาช่วยได้อย่างไรเพราะใครที่สามารถนำเทคโนโลยีมาใช้ได้มีประสิทธิภาพมากที่สุดก็มีโอกาสที่จะชนะได้มากที่สุดเช่นกัน” คุณ Paul ระบุ