แว่นท็อปเจริญ กับภารกิจ ESG ยกระดับธุรกิจแว่นตาไทย ควบคู่ดูแลสังคม มุ่งเติบโตสู่อาเซียน

  • 36
  •  
  •  
  •  
  •  

 

แว่นท็อปเจริญ ภายใต้การบริหารของ บริษัท ร่วมเจริญพัฒนา จำกัด (มหาชน) คือ ผู้นำตลาดแว่นตาในประเทศไทย ด้วยส่วนแบ่งการตลาดกว่า 41% และสาขาร้านแว่นตาที่มีมากกว่า 2,000 สาขาทั่วประเทศ ด้วยประสบการณ์เกือบ 80 ปี บริษัทไม่เพียงแต่ให้บริการด้านสายตาครบวงจร แต่ยังมุ่งมั่นยกระดับคุณภาพการมองเห็นของผู้คนผ่านเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัย

ในปี 2567 “แว่นท็อปเจริญ” ก้าวสู่การเป็น “บริษัทมหาชน” พร้อมขยายธุรกิจสู่ตลาดอาเซียน โดยเปิดบริษัทเพื่อรองรับการขยายธุรกิจในเวียดนาม สปป.ลาว และกัมพูชา ภายใต้วิสัยทัศน์การเป็นผู้นำการบริการด้านสายตาที่เชี่ยวชาญครบวงจร พร้อมให้การดูแลที่ดีที่สุดสำหรับทุกคนในอาเซียน โดยมีจำนวนสาขามากที่สุดในภูมิภาค CLMV ควบคู่ไปกับการดูแลสังคม และสร้างความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม พร้อมดำเนินธุรกิจอย่างมีธรรมาภิบาล ตามแนวคิด ESG

เราได้มีโอกาสพูดคุยกับ คุณนพศักดิ์ ตรีพรชัยศักดิ์ CEO แห่งแว่นท็อปเจริญ หรือในฐานะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ร่วมเจริญพัฒนา จำกัด (มหาชน) ถึงวิสัยทัศน์ในการขยายธุรกิจทั้งในไทยและอาเซียน รวมถึงกลยุทธ์สำคัญในการตอกย้ำความเป็นผู้นำในตลาดแว่นตา ท่ามกลางพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ คุณนพศักดิ์ยังได้แบ่งปันแนวคิดในการผลักดันแว่นท็อปเจริญให้เป็นมากกว่าร้านแว่นตา นั่นคือการเป็นศูนย์กลางการดูแลสายตาที่เข้าถึงได้สำหรับทุกคน พร้อมสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมแว่นตาในภูมิภาค

 

คุณนพศักดิ์ ตรีพรชัยศักดิ์ CEO แห่งแว่นท็อปเจริญ

 

กลยุทธ์สร้างแบรนด์แว่นท็อปเจริญ: ความสำเร็จที่ยืนยาวเกือบ 80 ปี

แว่นท็อปเจริญเป็นแบรนด์ร้านแว่นตาชั้นนำของไทย ซึ่งครองส่วนแบ่งการตลาดสูงถึง 41% ในอุตสาหกรรมแว่นตาของประเทศ ด้วยกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง ความเชี่ยวชาญในธุรกิจ และการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง แว่นท็อปเจริญเติบโตจากร้านเล็กๆ ในจังหวัดสระบุรี จนกลายเป็นร้านแว่นตาที่ครอบคลุมทั่วประเทศมากกว่า 2,000 สาขา และกำลังก้าวสู่ระดับภูมิภาค CLMV และเรื่องราวต่อไปนี้คือปัจจัยหลักที่ทำให้แบรนด์แข็งแกร่งและได้รับความไว้วางใจจากลูกค้า

  1. ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญที่สั่งสมมานานเกือบ 80 ปี

แว่นท็อปเจริญก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2490 โดยคุณเจริญ ตรีพรชัยศักดิ์ ภายใต้ชื่อ “เจริญการแว่น” พร้อมแนวคิดที่มุ่งมั่นให้บริการด้านสายตาแบบเข้าถึงได้ง่าย ผ่านการเปิดร้านแว่นตาและการให้บริการตรวจวัดสายตานอกสถานที่ด้วยรถเร่ นับตั้งแต่นั้นมา แบรนด์ได้เติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนถึงช่วงปี พ.ศ. 2524 ที่คุณนพศักดิ์ ตรีพรชัยศักดิ์ เข้ามาสานต่อธุรกิจและพลิกโฉมร้านแว่นตาดั้งเดิมให้ทันสมัยขึ้น พร้อมนำการตรวจวัดสายตาและประกอบแว่นตามาตรฐานสากลเข้ามาใช้ จนเป็นที่รู้จักในวงกว้าง

 

 

การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2534 เมื่อชื่อ “เจริญการแว่น” ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น “แว่นท็อปเจริญ” และได้รับการจดทะเบียนอย่างเป็นทางการ พร้อมนำความรู้และเทคโนโลยีสมัยใหม่ในการประกอบแว่นตาโปรเกรสซีฟจากต่างประเทศเข้ามาให้บริการลูกค้า จนสามารถขยายสาขาได้อย่างรวดเร็ว และสร้างความไว้วางใจให้กับลูกค้าทั่วประเทศ

 

  1. มาตรฐานระดับสากลและเทคโนโลยีล้ำสมัย

 

แว่นท็อปเจริญไม่เพียงแต่ให้บริการตรวจวัดสายตาโดยนักทัศนมาตรที่มีความเชี่ยวชาญเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้บุกเบิกการนำเทคโนโลยีล้ำสมัยมาใช้เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการตรวจวัดสายตา เช่น โปรแกรม AxQ20 ที่ตรวจวัดสายตาได้ละเอียดถึง 20 ขั้นตอน รวมถึงการนำเครื่อง AI Eye Partner หรือการใช้เทคโนโลยี AI มาวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้สายตาของลูกค้าแบบเฉพาะบุคคล ทำให้สามารถบริการลูกค้าและตัดแว่นที่เหมาะสมได้อย่างสมบูรณ์แบบ

นอกจากนี้ แว่นท็อปเจริญยังเป็นผู้นำในการพัฒนาเครื่องเจียระไนเลนส์อัจฉริยะ MEI จากอิตาลี ซึ่งช่วยให้การประกอบแว่นตามีความแม่นยำสูงสุด ลดข้อผิดพลาดจากการทำงานของมนุษย์ และทำให้ลูกค้าสามารถสวมใส่แว่นที่ให้ความรู้สึกสบายตามธรรมชาติที่สุด

 

  1. ผลิตภัณฑ์หลากหลาย ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์

 

หนึ่งในจุดแข็งของแว่นท็อปเจริญ คือ การคัดสรรแว่นตาที่ตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่ม ตั้งแต่เด็ก วัยรุ่น คนทำงาน ผู้สูงอายุ ไปจนถึงนักกีฬา โดยแบ่งสินค้าออกเป็นหมวดหมู่ชัดเจน เช่น

  • แว่นตาแบรนด์เนมระดับลักซ์ชัวรี่จากแบรนด์ดังระดับโลก เช่น Ray-Ban, Oakley, Gucci, Prada, Bottega Veneta, Tom Ford, Burberry, Versace, Coach เป็นต้น
  • แว่นตาแฟชั่นราคาจับต้องได้สำหรับวัยรุ่นและคนทำงาน
  • แว่นตาสปอร์ตที่เน้นความทนทานและฟังก์ชันการใช้งาน
  • แว่นตาสำหรับเด็กที่ออกแบบให้เหมาะกับสรีระเฉพาะ
  • แว่นตา One Price กรอบแว่นพร้อมเลนส์สายตา ราคาคุ้มค่า
  • คอนแทคเลนส์และอุปกรณ์เสริมที่เกี่ยวกับดวงตาจากแบรนด์ชั้นนำ

ด้วยการเป็นผู้จัดจำหน่ายรายใหญ่ที่มีสาขาจำนวนมากและมากที่สุดในอาเซียน ทำให้แว่นท็อปเจริญสามารถใช้กลยุทธ์ Economy of Scale จากการซื้อขายสินค้าโดยตรงกับบริษัทผู้ผลิตสินค้าแบรนด์เนมชั้นนำในปริมาณครั้งละมากๆ และมีศักยภาพในการควบคุมราคาสินค้าต่อชิ้นได้ในต้นทุนที่ต่ำลง ภายใต้มาตรฐานการกำหนดราคาของพันธมิตรผู้ผลิต ลูกค้าจึงได้รับสินค้าคุณภาพสูงในราคาที่เข้าถึงได้ นอกจากนี้ ยังมี After-Sales Service หรือบริการหลังการขายที่สามารถใช้บริการได้ทุกสาขาทั่วประเทศ ช่วยให้ลูกค้ารู้สึกมั่นใจและได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง

 

  1. เครือข่ายสาขาที่ครอบคลุมและการบริการที่มีมาตรฐาน

 

ปัจจุบัน แว่นท็อปเจริญมีสาขามากกว่า 2,000 แห่งทั่วประเทศ พร้อมแฟล็กชิปสโตร์ที่ออกแบบมาเพื่อให้บริการในรูปแบบของอาคารคอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่ครบวงจรกว่า 60 แห่ง ลูกค้าสามารถเข้าถึงแว่นตาหลากหลายแบรนด์ที่รวบรวมไว้มากกว่า 10,000 อัน ต่อสาขา และได้รับการดูแลในระดับพรีเมียม รวมถึงมีพื้นที่ Experience Zone เพื่อให้ลูกค้าทดสอบการใช้แว่นตาในชีวิตประจำวันเสมือนจริง เช่น การใช้คอมพิวเตอร์ การเล่นกีฬา การทำอาหาร หรือการทำงานที่ต้องใช้สายตาหนัก

นอกจากนี้ แว่นท็อปเจริญยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากร โดยมีศูนย์ฝึกอบรมพนักงานขนาดใหญ่ ซึ่งดำเนินการมาแล้วกว่า 40 ปี รองรับการฝึกอบรมพนักงานได้ครั้งละ 500 คน พนักงานทุกคนเข้ารับการอบรมทุกๆ 3 เดือน เพื่อให้ความรู้ด้านสายตาและการบริการเป็นไปตามมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ

แว่นท็อปเจริญบริหารสาขาด้วยตนเอง เพื่อให้สามารถควบคุมคุณภาพบริการได้ดีที่สุด ทั้งยังมีแผนก QA ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบมาตรฐานในทุกสาขา เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดในทุกครั้งที่เข้ามาใช้บริการ

 

ESG: แว่นท็อปเจริญเพื่อสังคมไทย

 

แว่นท็อปเจริญเดินทางมายาวนาน ก้าวเข้าสู่ปีที่ 78 และวันนี้ได้ก้าวไปอีกขั้นด้วยการเปลี่ยนสถานะเป็น “บริษัทมหาชน” เพื่อขยายสาขาไปยังหลายประเทศในภูมิภาคอาเซียน ไม่ว่าจะเป็นที่เวียดนาม สปป.ลาว กัมพูชาและเตรียมพร้อมที่จะเติบโตต่อยอดไปอีกในอนาคต

 

ESG: ไม่ใช่แค่แนวคิด แต่เป็นหัวใจของธุรกิจ

คุณนพศักดิ์บอกว่า แว่นท็อปเจริญไม่ได้มอง ESG (Environmental, Social and Governance) เป็นเพียงนโยบายเพื่อความยั่งยืน แต่เชื่อว่านี่คือหัวใจของการดำเนินธุรกิจที่แท้จริง เพราะต้องการให้ธุรกิจเติบโตไปพร้อมกับการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

 

E: ใส่ใจสิ่งแวดล้อมทุกขั้นตอน

แว่นท็อปเจริญ ได้นำแว่นตา BIO-Acetate ซึ่งเป็นวัสดุย่อยสลายได้และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาจำหน่าย เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับลูกค้าที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ยังพัฒนาบรรจุภัณฑ์และถุงกระดาษจากวัสดุรีไซเคิล เพื่อช่วยลดขยะและ Carbon Footprint

ไม่เพียงเท่านั้น แว่นท็อปเจริญยังเริ่มติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ที่แฟล็กชิปสโตร์ เช่น สาขาสยามสแควร์ ซึ่งเป็นโครงการนำร่องเพื่อลดการใช้พลังงานไฟฟ้าภายในสาขาและกำลังขยายไปยังสาขาอื่นๆ ในอนาคต

 

S: การให้กลับคืนสู่สังคม คือ DNA ขององค์กร

โครงการเพื่อสังคม (CSR) เป็นสิ่งที่แว่นท็อปเจริญทำมาโดยตลอด ไม่ใช่เพราะเป็นหน้าที่ แต่เป็นเพราะเชื่อว่านี่คือสิ่งที่ธุรกิจพึงกระทำ

  • โครงการแว่นตาผู้สูงวัยในสมเด็จพระเทพรัตนฯ เดินทางไปยังทุกจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อตรวจวัดสายตาและมอบแว่นตาให้กับผู้สูงวัยที่ขาดโอกาส
  • โครงการแว่นตาเพื่อน้อง ให้ความสำคัญกับเด็กนักเรียนที่มีปัญหาสายตา โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล หลายครั้งที่ทีมไปตรวจสายตาและพบเด็กที่มีสายตาสั้นรุนแรงแต่ไม่เคยรู้ตัวมาก่อน
  • โครงการแว่นตาเพื่อพี่น้อง 3 จังหวัดชายแดนใต้ เข้าไปให้บริการตรวจวัดสายตาและมอบแว่นตาให้กับประชาชนในพื้นที่เสี่ยง เพื่อช่วยให้พวกเขามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
  • โครงการวันไซท์ (ONESIGHT) ร่วมกับ EssilorLuxottica ร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลกในการขยายโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงการดูแลสุขภาพสายตาอย่างทั่วถึง

 

G: ธรรมาภิบาล สู่การเติบโตอย่างมั่นคง

เมื่อเป็นบริษัทมหาชนแล้ว ความโปร่งใสและธรรมาภิบาลยิ่งต้องเข้มข้นขึ้น แว่นท็อปเจริญเดินหน้าสร้างมาตรฐานที่สูงขึ้นในทุกกระบวนการ ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการ การตรวจสอบบัญชี หรือโครงสร้างองค์กร เพื่อให้มั่นใจว่าธุรกิจมีความยั่งยืนและเชื่อถือได้ ซึ่งแว่นท็อปเจริญให้ความสำคัญกับเรื่องธรรมาภิบาลมาตลอดการดำเนินธุรกิจกว่า 78 ปี

นอกจากนี้ แว่นท็อปเจริญยังมุ่งมั่นสนับสนุนให้คนไทยมีอาชีพที่มั่นคง ผ่านโครงการฝึกอบรมด้านสายตา และเปิดโอกาสให้ผู้พิการได้มีอาชีพในอุตสาหกรรมแว่นตา

  • ผลลัพธ์ที่เห็นชัดเจนจากการดำเนินงาน ESG
  • ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
  • ขยายการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพสายตาให้ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มที่ขาดโอกาส
  • สร้างองค์กรที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ และได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าและพันธมิตร

 

 

“เราไม่สามารถอยู่เพียงลำพังในโลกนี้ได้ การทำธุรกิจต้องคืนกลับสู่สังคม และผมเชื่อว่าผลงานที่ได้ทำจะช่วยส่งเสริมความยั่งยืนให้กับสังคมไทยและอุตสาหกรรมแว่นตาไทย”

 

หนุนอุตสาหกรรมแว่นตาของไทย: วิทยาลัยทัศนมาตรศาสตร์ท็อปเจริญ กับการสร้างบุคลากรด้านสายตา

ในอุตสาหกรรมแว่นตาที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนวงการนี้คือบุคลากรด้านสายตาที่มีความเชี่ยวชาญ อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยกลับมีนักทัศนมาตรไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาดที่ขยายตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุนี้ แว่นท็อปเจริญจึงเห็นความสำคัญของปัญหาและก้าวเข้ามามีบทบาทในการผลิตและพัฒนาบุคลากรโดย “วิทยาลัยทัศนมาตรศาสตร์ท็อปเจริญ”

 

 

คุณนพศักดิ์อธิบายว่า ประเทศไทยยังขาดแคลนนักทัศนมาตรอย่างมาก เมื่อเปรียบเทียบกับความต้องการที่ควรจะมีถึง 20,000 คน แต่ปัจจุบันมีเพียง 700-800 คนเท่านั้น อีกทั้งส่วนใหญ่กระจายตัวไปตามโรงพยาบาลของรัฐ สถานพยาบาลเอกชนและหน่วยงานต่างๆ เหลือบุคลากรที่ทำงานในร้านแว่นตาเพียงประมาณ 300 คนทั่วประเทศ ซึ่งยังไม่สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดได้อย่างเต็มที่

“ในเมื่อบุคลากรมีไม่พอ เราก็ต้องผลิตเอง” คุณนพศักดิ์กล่าว “เป้าหมายของเรา คือ การยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทย ผ่านการดูแลสายตาที่ได้มาตรฐานและบริการด้านสายตาที่ทั่วถึง ลูกค้าไม่ได้มีแค่ปัญหาสายตาสั้นหรือยาวเท่านั้น บางรายมีปัญหาทางสายตาที่ซับซ้อนกว่านั้น เช่น โรคตาหรือความผิดปกติของกล้ามเนื้อตา ซึ่งต้องอาศัยนักทัศนมาตรที่มีความรู้เฉพาะทาง การมีนักทัศนมาตรประจำทุกสาขาของแว่นท็อปเจริญกว่า 2,000 แห่ง จะช่วยให้ประชาชนเข้าถึงการดูแลสายตาที่ได้มาตรฐานระดับสากลและครอบคลุมทุกพื้นที่”

วิทยาลัยทัศนมาตรศาสตร์ท็อปเจริญ จัดตั้งขึ้นภายใต้ความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ที่แว่นท็อปเจริญได้มีการร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ (MOU) ไปเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งเป็นหลักสูตรการเรียนที่เทียบเท่ากับหลักสูตรแพทยศาสตร์ ใช้เวลาเรียน 6 ปี และได้รับใบอนุญาตประกอบโรคศิลปะจากกระทรวงสาธารณสุขเมื่อจบการศึกษา โดยโครงการนี้จะเปิดรับนักศึกษารุ่นแรกในเดือนสิงหาคม 2568 รับจำนวนประมาณ 30 คน ถือเป็นก้าวสำคัญในการผลิตนักทัศนมาตรที่มีคุณภาพและเป็นการสร้างอาชีพใหม่ให้กับเยาวชนไทยที่สนใจด้านสุขภาพสายตา ซึ่งมีผู้สนใจสมัครเรียนจำนวนมาก เพราะเป็นอาชีพที่มั่นคง มีโอกาสเติบโตสูง และยังช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยให้ดีขึ้นอีกด้วย

นอกจากการผลิตบุคลากรในประเทศไทยแล้ว วิทยาลัยทัศนมาตรศาสตร์ท็อปเจริญ ยังตั้งเป้าการเป็นศูนย์กลางการศึกษาในระดับอาเซียนสำหรับวิชาชีพนี้ เพื่อมอบโอกาสในการดูแลสุขภาพสายตาให้กับทุกคนในอาเซียน โดยมีแผนรับนักศึกษาจากประเทศเพื่อนบ้าน

 

ตอกย้ำความเป็นผู้นำในธุรกิจแว่นตาครบวงจรในอาเซียน

 

ด้วยส่วนแบ่งการตลาดกว่า 41% ในประเทศไทย แว่นท็อปเจริญ ได้สร้างความแข็งแกร่งจนสามารถครองตำแหน่งผู้นำอันดับหนึ่งในตลาดไทย คุณนพศักดิ์จึงมองไปยังโอกาสใหม่ในอาเซียน

“เมื่อดูตลาดในประเทศเพื่อนบ้าน อย่างเวียดนาม สปป.ลาว และกัมพูชา เรายังไม่เห็นร้านแว่นตาเชนใหญ่ที่มีมาตรฐานระดับสากล ส่วนมากเป็นร้านแว่นตารายย่อย คล้ายกับที่ไทยเคยเป็นในอดีต นี่จึงเป็นโอกาสที่เราจะเข้าไปบุกเบิกตลาดและยกระดับการบริการด้านสายตา” คุณนพศักดิ์กล่าว

จากการศึกษาตลาดพบว่า ลูกค้าจำนวนมากจากกัมพูชาและสปป.ลาวเดินทางมาซื้อแว่นตาที่สาขาของแว่นท็อปเจริญตามแนวจังหวัดชายแดน เช่น อุบลราชธานี หนองคาย และอรัญประเทศ สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการแว่นตาคุณภาพสูงและบริการตรวจวัดสายตาที่แม่นยำ ซึ่งเป็นช่องว่างที่แว่นท็อปเจริญสามารถเติมเต็มได้

 

 

“ผมไปสำรวจตลาดมาแล้ว หลายคนรู้จักแว่นท็อปเจริญเป็นอย่างดี โดยเฉพาะที่กัมพูชา ถ้าเราไปเปิดที่นั่น การตอบรับน่าจะดีมาก เพราะคนเคยมาทำงานหรือท่องเที่ยวที่ไทยและเคยใช้บริการของเรา”

แม้ว่าตลาดอาเซียนจะเต็มไปด้วยโอกาส แต่การขยายธุรกิจในประเทศใหม่ๆ ย่อมมาพร้อมกับความท้าทาย คุณนพศักดิ์เล่าว่า ปัจจัยสำคัญที่สุดคือการเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคในแต่ละประเทศ แม้ว่าโดยพื้นฐานแล้ว ความต้องการด้านสายตาจะไม่แตกต่างกัน ลูกค้าทุกคนต้องการแว่นตาที่ช่วยให้มองเห็นคมชัด กรอบแว่นตาที่เหมาะกับรูปหน้า และราคาที่เข้าถึงได้ แต่รายละเอียดปลีกย่อยของพฤติกรรมการซื้อและการรับรู้แบรนด์ยังต้องศึกษาต่อไป

“ธุรกิจแว่นตามีความจำเป็นต่อทุกคนเปรียบเสมือนปัจจัยสี่ เพราะสายตาเป็นสิ่งที่ต้องดูแลตลอดชีวิต ไม่มีข้อยกเว้น และคนส่วนใหญ่ไม่ได้มีแว่นเพียงอันเดียว เลนส์ก็ต้องเปลี่ยนทุกปี การขยายตัวของตลาดนี้จึงเป็นไปอย่างไม่หยุดยั้ง”

“ตอนนี้เราได้ตั้งสำนักงานใหญ่ในเวียดนาม สปป.ลาว และกัมพูชา เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจ เราต้องการนำมาตรฐานการบริการด้านสายตาที่ครบวงจรเข้าไปในตลาดเหล่านี้ เพื่อให้คนอาเซียนสามารถเข้าถึงแว่นตาคุณภาพสูงได้ง่ายขึ้น”

แนวทางของแว่นท็อปเจริญไม่ได้เป็นเพียงแค่การขยายสาขา แต่ยังมุ่งเน้นการสร้างความยั่งยืนให้กับสังคม มาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรม ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัย รวมถึงการบริการหลังการขายที่โดดเด่น

“เราเน้นเรื่องการให้บริการด้วยหัวใจ (Service Mind) และใช้เทคโนโลยีช่วยยกระดับมาตรฐานการตรวจวัดสายตา นอกจากนี้ ต่อให้ไม่ใช่ลูกค้าของเรา หากเขามีปัญหาเกี่ยวกับแว่นตา เราก็พร้อมให้คำปรึกษา ช่วยเหลือ และพร้อมให้บริการทุกสาขาทั่วประเทศ” คุณนพศักดิ์กล่าว

 

 

วิสัยทัศน์ของแว่นท็อปเจริญ จึงไม่ใช่เพียงแค่การเป็นแบรนด์แว่นตาอันดับหนึ่งในอาเซียน แต่ยังเป็น “ผู้ให้บริการด้านสายตาที่ครบวงจร” ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนในภูมิภาคนี้ไปพร้อมกัน


  • 36
  •  
  •  
  •  
  •