แม้ไปรษณีย์ไทยจะยังคงครองอันดับ 1 ส่วนแบ่งตลาดตลาดขนส่งในประเทศไทยที่มีมูลค่า 1 แสนล้านบาทเอาไว้ได้ด้วยสัดส่วนถึง 27% ในปี 2023 ส่วนในปี 2024 ช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาไปรษณีย์ไทยก็สามารถทำรายได้ไปได้มากถึง 15,858 ล้านบาท แต่หากดูไปที่ตัวเลขของ “ผลกำไร” แล้วไปรษณีย์ไทยมีกำไรอยู่แค่ 31 ล้านบาทเท่านั้น เรียกว่าเป็นเส้นทางที่เหมือนเดินอยู่บนเส้นด้ายก็ว่าได้
ไปรษณีย์ไทยมีงานต้องทำอีกมากเพื่อเผชิญกับความท้าทายมากมายในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นการนำแบรนด์ไปรษณีย์ไทยก้าวไปสู่การเป็น Lifestyle Brand ลุยธุรกิจสาย Retail มากขึ้นนั่นทำให้เราได้เห็นสินค้า House Brand ของไปรษณีย์ไทยปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่อง เราได้เห็นร้าน Post Cafe ของไปรษณีย์ที่จะเริ่มขยายไปอีกหลายๆสาขา รวมไปถึงการขยายธุรกิจสู่ประเทศเพื่อนบ้าน
ที่น่าสนใจก็คือการนำเทคโนโลยีเข้ามาเป็นแกนหลักในการวางรากฐานและสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจไปรษณีย์ไทย ซึ่งเรื่องนี้ Marketing Oops! ได้มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ คุณแชมป์ ดร.ตฤณ ทวิธารานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจบริการดิจิทัล บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด บุคคลที่แม้จะเพิ่งเข้ารับตำแหน่งที่ไปรษณีย์ไทยได้ไม่กี่เดือนแต่ก็เข้ามาวางแผนนำเทคโนโลยีหลายๆอย่างมาใช้กับไปรษณีย์ไทยไม่ว่าจะเป็น AI ไล่ไปจนถึง Quantum Computing เทคโนโลยีทำให้เราได้เห็นความเป็นไปได้ที่จะพลิกโฉมไปรษณีย์ไทยได้อย่างน่าสนใจ
เทคโนโลยีไม่ใช่ทั้งหมดแต่ต้องสร้าง Value ทั้งผู้บริโภคและองค์กร
แม้คุณแชมป์ จะเป็น CIO ที่อยู่ในวัยเพียงแค่ 43 ปีแต่ก็มาพร้อมประสบการณ์ในการใช้เทคโนโลยีขับเคลื่อนทั้งในภาครัฐและภาคเอกชนมาแล้วไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์เปลี่ยนผ่านระบบ Core Banking ของธนาคาร UOB ประสบการณ์ด้านนโยบายส่งเสริมเทคโนโลยีธุรกิจท่องเที่ยวกับธุรกิจ MICE ที่สำนักนายกรัฐมนตรี ประสบการณ์ในตำแหน่ง Head of Innovation กับพฤกษาเรียลเอสเตท ขัลเคลื่อนธุรกิจใหม่ๆ รวมไปถึงการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์กับ ETDA
จากประสบการณ์ที่อยู่มาในทุกมุมมองของการเปลี่ยนผ่านด้านเทคโนโลยีทั้งภาครัฐภาคเอกชนนั้นคุณแชมป์เล่าว่าเทคโนโลยีนั้นไม่ใช่ทุกอย่างนำมาใช้แล้วจบ แต่ต้องเหมาะสมกับบริบท นั่นก็คือต้องสร้างคุณค่าให้กับผู้บริโภคและองค์กรได้จริงๆ และเมื่อได้มารู้กับวิสัยทัศน์ของไปรษณีย์ไทยที่ต้องการขับเคลื่อนคุณค่าแบบนี้ผ่านจุดแข็งของไปรษณีย์อย่างโครงข่าย Physical Network ที่แข็งแกร่งก็เลยตัดสินใจมาร่วมงานด้วย
ด้วยแนวคิดนี้ทำให้ไปรษณีย์ไทยจึงมีแกนในการพัฒนาธุรกิจด้วยเทคโนดลยีที่เรียกว่า Digital Twins เชื่อมโยงข้อมูลระหว่างโลกออฟไลน์และโลกออนไลน์เข้าไว้ด้วยกันซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้ได้ถูกฝังลงในบางบริการของไปรษณีย์ไทยไปแล้วด้วย
3 เรื่องโครงสร้างพื้นฐานที่เป็น Priority
คุณแชมป์ระบุว่ามี 3 เรื่องที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีที่สำคัญที่ไปรษณีย์ไทยจะทำก่อนนั่นก็คือ Prompt Post , Digital Post ID และการเปลี่ยน Core System ของไปรษณียไทยใหม่
สำหรับเรื่อง Prompt Post คุณแชมป์ระบุว่าเป็นสิ่งที่บอร์ดผลักดันมาเกือบ 2 ปีแล้ว และเริ่มเห็น Application เมื่อประมาณต้นปี 2024 ที่ผ่านมา สำหรับPrompt Post ไปรษณีย์ไทยวางไว้จะให้เป็น ซุปเปอร์แอปที่รวมการให้บริการตั้งแต่การรับฝากเอกสารอย่างปลอดภัยในรูปแบบ “ตู้ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์” การส่งต่อที่รวดเร็วแบบดิจิทัล และการนำจ่ายถึงปลายทางแบบเชื่อถือได้ โดยจะเป็นเอกสารที่ได้รับการรับรองทางกฎหมายด้วย
ส่วนเรื่อง Digital Post ID นั่นคิดง่ายๆว่าเหมือนกับเทคโนโลยี NDID เวลาเราทำธุรกรรมหรือว่าเราไปเปิดบัญชีกับธนาคารเรามี Digital ID ที่สามารถทำธุรกรรมผ่านแอปได้เลย Digital Post ID ก็คือแบบเดียวกันโดยไปรษณีย์ไทยจะผูก ID กับที่อยู่บ้านเราหรือที่อยู่ที่ทำงานเราเรียกว่าเป็น Location Service หรือ Location Infrastructure ที่ไปรษณีย์ไทยสามารถนำไปต่อยอดสร้างมูลค่าทางธุรกิจเพิ่มขึ้นได้
อย่างที่ 3 ที่ไปรษณีย์ไทยองค์กรที่อยู่มานาน 140 ปี ต้องเปลี่ยนก็คือการ Core Business ที่ Core System ที่ต้องพัฒนาให้รองรับกับการเชื่อมต่อกับระบบอื่นในปัจจุบันให้ได้เพราะ E-Commerce ในยุคนี้พัฒนาไปไกลแล้วไม่ว่าจะ TikTok Shopee หรือ Lazada ที่ไปรษณีย์ไทยต้องนำระบบไปเชื่อมต่อให้ได้ เรียกว่าเป็นโครงการแบบ Mega Project ที่คุณแชมป์ระบุว่ากำลังจะเสร็จสิ้นและเหลือแค่การออกแบบประสบการณ์ลูกค้าให้ดีที่สุดเท่านั้น
ไปรษณีย์กับ AI & Data Driven Operation
คุณแชมป์เล่าว่าหนึ่งในแผนแรกๆที่ได้สื่อสารให้กับพนักงานไปรษณีย์ไทยก็คือการขับเคลื่อนองค์กรด้วย AI หรือ AI Driven Operation และจะทำทันทีในปี 2025 นี้ซึ่งสิ่งนี้จะทำให้ไปรษณีย์ไทยก้าวกระโดดและจะเปลี่ยน Perception ของไปรษณีย์ไทยให้กลายเป็นองค์กรใหม่ที่จะมีการนำ AI มาใช้เต็มรูปแบบ
เหตุผลที่ไปรษณีย์พร้อมที่จะกระโดดไปใช้ AI ก็คือเวลานี้เทคโนโลยี AI อยู่ในจุดที่ถูกพิสูจน์มาแล้วอย่างชัดเจนและช่วยลดกระบวนการต่างๆลงได้และไปรษณีย์ไทยจะนำ AI มาใช้ในกระบวนการขนส่ง เช่น Last Mile ที่จะวิเคราะห์ข้อมูล Optimize หาช่วงเวลา เส้นทางที่ลดเวลาและลดต้นทุนได้มากที่สุด การสแกนสินค้าเพื่อหาคำนวนพื้นที่ขนส่งเพื่อลดจำนวนเที่ยวเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่ง เป็นต้น
นอกจาก AI แล้วคุณแชมป์เล่าให้ฟังด้วยว่าไปรษณีย์ไทยก็กำลังก้าวสู่การเป็น “Data Company” โดยเฉพาะคุณค่ามหาศาลของ “ข้อมูล” ที่ไปรษณีย์ไทยสะสมมาตลอด 140 ปี และมองว่า Data Monetization จะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างรายได้ และขับเคลื่อนธุรกิจไปรษณีย์ไทยในยุคดิจิทัล
ด้วยเครือข่ายที่ครอบคลุมทั่วประเทศ บุคลากรที่เข้าถึงทุกพื้นที่ และการให้บริการที่หลากหลาย ทำให้ไปรษณีย์ไทยมีข้อมูลมหาศาล ไม่ว่าจะเป็น ข้อมูลลูกค้า ข้อมูลการขนส่ง ข้อมูลภูมิศาสตร์ โดยเฉพาะจาก Network ของพี่บุรุษไปรษณีย์มากกว่า 25,000 คนทั่วประเทศที่นับเป็นจุดแข็งของไปรษณีย์ไทย ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สามารถนำมาวิเคราะห์ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มได้หลากหลายรูปแบบ เช่นการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ, เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน รวมไปถึง สร้างรายได้จากข้อมูล (Data Monetization) เช่นนำข้อมูลที่ไม่ระบุตัวตน ไปขายหรือให้บริการแก่หน่วยงานต่างๆ เช่น ข้อมูลสถิติ ข้อมูลการตลาดเป็นต้น
ในปี 2025 ไปรษณีย์ไทยตั้งเป้าหมายสร้างรายได้จาก Data Monetization กว่า 200 ล้านบาท โดยจะเน้นการนำข้อมูลมาใช้ เพื่อพัฒนาธุรกิจ สร้างผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ รวมถึงการร่วมมือกับพันธมิตร เพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจต่อไป
สิ่งที่ลูกค้าจะสัมผัสได้เมื่อเทคโนโลยีเปลี่ยนไป
นอกจากการเพิ่มประสิทธิภาพในการะบวนการทำงานแล้วประสบการณ์ใช้บริการไปรษณีย์ของพวกเราก็จะเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน และนี่คือสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในเร็วๆนี้กับบริการของไปรษณีย์ไทยซึ่งคุณแชมป์อธิบายให้เราได้แบบเห็นภาพ
- ติดตามพัสดุแบบ Real-time: ลูกค้าจะสามารถติดตามตำแหน่งของพัสดุได้แบบเรียลไทม์ ไม่ใช่แค่รู้ว่าพัสดุอยู่ที่ไหน แต่จะรู้ด้วยว่าอีกนานแค่ไหนจะถึงมือผู้รับ
- เปลี่ยนแปลงการรับ-ส่งพัสดุได้ง่าย: ลูกค้าสามารถเปลี่ยนแปลงสถานที่รับ-ส่งพัสดุได้อย่างสะดวก ผ่านช่องทางดิจิทัล เช่น แอปพลิเคชัน
- ผู้รับได้รับการแจ้งเตือนมื่อมีคนส่งพัสดุให้ ผู้รับจะได้รับการแจ้งเตือนทันที
- จัดการตู้ไปรษณีย์ออนไลน์: ลูกค้าสามารถจัดการตู้ไปรษณีย์ส่วนตัวแบบออนไลน์ได้ รู้ว่ามีจดหมายหรือพัสดุอะไรมาส่งบ้าง สามารถยืนยันตัวตนผู้ส่งได้
- สแกนเอกสารและชำระเงินผ่านแอป: AI จะสแกนเอกสารสำคัญ เช่น ใบแจ้งหนี้ ใบสั่ง และลูกค้าสามารถชำระเงินได้เลยผ่านแอปพลิเคชัน
- ธุรกรรมเช็คแบบดิจิทัล: ในอนาคตอาจสามารถนำเช็คเข้าบัญชีได้ ผ่าน Digital Wallet ในแอปพลิเคชัน
- AI ช่วยจัดการเอกสาร: AI จะช่วยจัดการเอกสารใน Digital Wallet แจ้งเตือน และอาจแนะนำสิ่งที่ควรทำกับเอกสารนั้นๆ ได้
นอกจากนี้ AI ยังเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนา B2B Business ของไปรษณีย์ไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริการ Prompt Post ซึ่งเป็นบริการจัดการเอกสารและพัสดุแบบดิจิทัล ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยให้กับธุรกิจที่อีกไม่นานนี้เช่น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ
- E-Transcript: นักศึกษาจบใหม่สามารถส่ง Transcript ให้กับบริษัทต่างๆ ผ่าน Prompt Post ได้ทันที โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง
- Passport และ Visa: ติดตามสถานะการดำเนินการ Passport และ Visa ได้แบบเรียลไทม์ และลดความเสี่ยงในการสูญหายของเอกสารสำคัญ
- บริการภาครัฐ: หน่วยงานภาครัฐสามารถใช้ Prompt Post ในการจัดส่งเอกสารต่างๆ เช่น ใบขับขี่ ใบสั่ง และเอกสารสำคัญอื่นๆ ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย
โดยรวมแล้ว ประสบการณ์ของลูกค้าไปรษณีย์ไทยในอนาคต จะสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยมากขึ้น ด้วยการผสมผสานเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ากับบริการโดยมีแกนกลางของเทคโนโลยีที่เรียกว่า Digital Twins เชื่อมโยงโลก Online และ Offline เข้าหากันอย่างไร้รอยต่อผสมผสานกับเทคโนโลยี AI ที่ทำให้ไปรษณีย์ไทยไม่เพียงแต่เป็นผู้ให้บริการขนส่ง แต่ยังก้าวขึ้นเป็น Digital Business Platform ที่เชื่อมโยงทุกภาคส่วนเข้าด้วยกัน ตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจในยุคดิจิทัลได้อย่างครบวงจร
ไปรษณีย์สู่ Intelligence Center ของประเทศ
คุณแชมป์ไม่ได้มองแค่ 1-2 ปีข้างหน้าแต่ มองการณ์ไกลไปข้างหน้าถึง 3-5 ปี พร้อมกับบอกกับ Marketing Oops! ว่า มองเห็นศักยภาพของไปรษณีย์ไทยในการก้าวขึ้นเป็น “Intelligence Center ของประเทศ” โดยอาศัยจุดแข็งของโครงข่ายที่ครอบคลุมทั่วประเทศ บุคลากรที่เข้าถึงทุกพื้นที่ และข้อมูล Big Data ที่ได้จากการให้บริการ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สามารถนำไปต่อยอด วิเคราะห์ และสร้างมูลค่าเพิ่มได้อีกมากมาย
หัวใจสำคัญที่จะขับเคลื่อนไปรษณีย์ไทยไปสู่ Intelligence Center คือการนำเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI เข้ามาประยุกต์ใช้ นอกจากนี้ข้อมูลเชิงลึกที่ได้จากการวิเคราะห์ข้อมูลของไปรษณีย์ไทย จะไม่เพียงแค่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาธุรกิจของไปรษณีย์ไทยเองเท่านั้น แต่ยังสามารถเป็นประโยชน์ต่อภาคส่วนอื่นๆ ในระดับประเทศได้ด้วย เช่น การวางแผนพัฒนาเมือง (Smart City) การกำหนดนโยบายของภาครัฐ หรือแม้แต่การใช้งานของภาคเอกชน
ด้วยวิสัยทัศน์ในการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ ก็น่าจับตาดูว่าไปรษณีย์ไทยภายใต้การนำของ คุณแชมป์จะก้าวขึ้นเป็น Intelligence Center ของประเทศ เป็นศูนย์กลางข้อมูลขนาดใหญ่ ที่สามารถขับเคลื่อนประเทศไทยไปข้างหน้าได้อย่างแท้จริงได้หรือไม่ในอนาคต
Quantum Computing อนาคตที่ไม่ไกลสำหรับไปรษณีย์ไทย
อีกเทคโนโลยีที่แม้จะดูเหมือนเป็นเรื่องไกลตัว แต่ “Quantum Computing” อาจเข้ามามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจไปรษณีย์ไทยในอนาคตอันใกล้นี้ ซึ่งคุณแชมป์ ก็ได้เล่าให้เราฟังถึงเทคโนโลยีนี้ด้วยว่าเป็นเทคโนโลยีที่จะเข้ามาเสริมศักยภาพของ AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผล Big Data ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อธุรกิจโลจิสติกส์ที่มีข้อมูลมหาศาล
Quantum Computing คืออะไร? อธิบายง่ายๆ คือ คอมพิวเตอร์รูปแบบใหม่ ที่ใช้หลักการทางกลศาสตร์ Quantum ที่แตกต่างจากหลักการฟิสิกส์แบบที่มนุษย์รู้จักในการประมวลผลข้อมูล ทำให้สามารถจัดการกับปัญหาที่ซับซ้อนปัญหาที่แต่เดิมคอมพิวเตอร์อาจต้องใช้เวลาคำนวณนานหลายปี แต่ Quantum Computing สามารถทำให้เสร็จได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว ยกตัวอย่างเช่น การหาเส้นทางการขนส่งที่ดีที่สุด การจัดสรรทรัพยากร การบริหารจัดการคลังสินค้า และการพยากรณ์ปริมาณพัสดุ
แม้ในปัจจุบัน การพัฒนาควอนตัมคอมพิวเตอร์ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น และมีต้นทุนที่สูง แต่คุณแชมป์มองว่าในอนาคต เทคโนโลยีนี้จะมีราคาถูกลง และสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ไปรษณีย์ไทยจึงมีแผนจะเริ่มทดลองใช้ Quantum Computingในระดับ Lab Scale เพื่อศึกษาและพัฒนา Use Case ที่เหมาะสมต่อไปในเร็วๆนี้ด้วย
เรียกว่าเป็นอีกเรื่องที่หลายคนอาจเพิ่งรู้ว่า องค์กร 140 ปีอย่างไปรษณีย์เองก็มีแผนที่จะนำเทคโนโลยีอย่าง Quantum Computing มาเริ่มทดลองใช้แล้ว ซึ่งก็ต้องจับตาดูกันต่อไปว่าเทคโนโลยีนี้จะมีราคาที่ถูกลง หรือจะสามารถลดต้นทุน เพิ่มผลลัพธ์ทางธุรกิจหรือมีจุดคุ้มค้าทางธุรกิจอย่างไรคงต้องติดตามกันต่อไป
แผนการทำเทคโนโลยีเข้ามาสร้างความเติบโตให้กับไปรษณีย์ของคุณแชมป์ทั้งหมดนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของไปรษณีย์ไทยในการก้าวสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ โดยอาศัยเทคโนโลยี AI และ Data เป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า หรือการสร้างรายได้รูปแบบใหม่ เพื่อให้ไปรษณีย์ไทยยังคงเป็นองค์กรที่สำคัญของประเทศ และสามารถตอบโจทย์ความต้องการของคนไทยได้ในทุกยุคสมัยได้ต่อไป