หนึ่งในอุตสาหกรรมขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศไทยคือ “อุตสาหกรรมไมซ์ (MICE)” (ประชุมสัมมนาระดับองค์กร – การเดินทางเพื่อเป็นรางวัลให้กับพนักงาน – การประชุมสัมมนาขนาดใหญ่ระดับประเทศ ระดับนานาชาติ – การจัดงานแสดงสินค้า/บริการ – งานเมกะอีเวนต์และเทศกาลนานาชาติ) ภายใต้การดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐอย่าง สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมสำคัญที่ส่งผลต่อภาคการท่องเที่ยว แต่ทว่าในช่วงกว่า 2 ปีที่ผ่านมาทั่วโลก รวมทั้งไทยต้องเผชิญกับ COVID-19 ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรม MICE
วันนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดคลี่คลาย และประเทศต่างๆ เปิดรับนักเดินทางเพื่อเร่งพลิกฟื้นภาคการท่องเที่ยว และกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ ซึ่งทันทีที่ไทยเปิดประเทศ ปรากฏว่าไม่เพียงแต่นักท่องเที่ยวต่างชาติทยอยเดินทางเข้ามาอย่างต่อเนื่องเท่านั้น ขณะเดียวกันกิจกรรม MICE ทั้งของไทยเอง และของต่างประเทศ เริ่มกลับมาจัดกิจกรรมอย่างคึกคัก!
ภาพดังกล่าวสะท้อนถึงสัญญาณบวกของอุตสาหกรรม MICE ซึ่งเชื่อมโยงไปถึงธุรกิจค้าปลีก และธุรกิจบริการต่างๆ อีกมากมาย หนึ่งในนั้นคือ “กลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์” (King Power) ดำเนินธุรกิจค้าปลีกสินค้าปลอดอากร (Duty Free) ธุรกิจโรงแรม และโครงการคิง เพาเวอร์ มหานคร ได้กลับมาต้อนรับนักท่องเที่ยวทั่วไปและนักเดินทางกลุ่ม MICE จากทั่วโลกที่มาเยือนไทย
ในโอกาสนี้ MarketingOops! ได้สัมภาษณ์ “คุณอภิเชษฐ์ ศรีวัฒนประภา” ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ถอดแนวคิดการขับเคลื่อนองค์กรในวันที่เจอกับวิกฤต COVID-19 สู่การสร้างโอกาสใหม่ทางธุรกิจ เพื่อให้องค์กรและพนักงานยังคงไปต่อได้ พร้อมด้วยยุทธศาสตร์ธุรกิจหลังการเปิดประเทศ และมุมมองการพัฒนาอุตสาหกรรม MICE ของไทยให้แข็งแกร่ง เพื่อแข่งขันได้ในระดับโลก
พลิกวิกฤต สู่การสร้างโอกาสใหม่ทางธุรกิจ
กลุ่มธุรกิจในเครือคิง เพาเวอร์ ให้บริการด้านการท่องเที่ยวครบวงจร ประกอบด้วย “กลุ่มธุรกิจค้าปลีกสินค้าปลอดอากร” (Duty Free) เปิดในสนามบิน 6 แห่งคือ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ดอนเมือง ภูเก็ต เชียงใหม่ หาดใหญ่ อู่ตะเภา และสาขานอกสนามบิน ซึ่งเป็นโมเดล Down Town Duty Free อีก 5 แห่ง ทั้งในกรุงเทพฯ และเมืองท่องเที่ยวหลัก ได้แก่ คิง เพาเวอร์ มหานคร รางน้ำ ศรีวารี พัทยา และภูเก็ต
นอกจากนี้ยังมี “กลุ่มธุรกิจโรงแรม” เช่น โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพ ซึ่งมีทั้งส่วนที่พัก และพื้นที่จัดงานอีเวนต์-การประชุมสัมมนา
รวมทั้ง “โครงการคิง เพาเวอร์ มหานคร” แลนด์มาร์คใจกลางย่าน CBD ของกรุงเทพฯ ภายในประกอบด้วยโรงแรมเดอะ สแตนดาร์ด แบงค็อก มหานคร เดอะ ริทซ์ คาร์ลตัน เรสซิเดนซ์ มหานคร สกายวอล์ค และมหานคร คิวบ์ เป็นไลฟ์สไตล์มอลล์แห่งใหม่
ธุรกิจในเครือกลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ ล้วนเกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว และอุตสาหกรรม MICE นับตั้งแต่ Duty Free ทั้งสาขานอกสนามบิน และที่ตั้งอยู่ในสนามบิน ซึ่งถือเป็นประตูบานแรกที่ต้อนรับนักท่องเที่ยว และนักเดินทางกลุ่ม MICE รวมไปถึงการให้บริการโรงแรมที่พัก และสถานที่ท่องเที่ยว พักผ่อน ครบวงจรอย่างโครงการคิง เพาเวอร์ มหานคร
อย่างไรก็ตามในช่วงสถานการณ์ COVID-19 “กลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์” ก็เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่ได้รับผลกระทบ ทำให้ต้อง Rethink ด้วยการต่อยอดโมเดลธุรกิจที่มีอยู่ ขยายสู่ธุรกิจแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อสร้างโอกาสใหม่ทางธุรกิจ
“คิง เพาเวอร์ ได้รับผลกระทบจากการไม่มีนักท่องเที่ยวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในสภาวะเช่นนั้น การกำหนดกลยุทธ์ให้ธุรกิจดำเนินได้อย่างยืดหยุ่น เพื่อขับเคลื่อนได้ทั้งระบบ การนำแนวคิด “King Power Team Power” เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการดำเนินธุรกิจ
เพราะในช่วงที่ทุกๆ สิ่งหยุดนิ่งจากมาตรการล็อคดาวน์ และมาตรการ Work From Home ส่งผลให้ธุรกิจต้องมีการปรับตัวไป เน้นการขายสินค้าบน “แพลตฟอร์มออนไลน์” มากยิ่งขึ้น เพื่อช่วยขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่จาก Onground สู่ Online เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส เปลี่ยน “พนักงาน” ทุกคนที่ปฏิบัติงานจากที่บ้านเป็นพนักงานขาย เรียนรู้ระบบการขายสินค้าออนไลน์
ตลอดจนเพิ่มโอกาสให้ลูกค้าทั้งที่มีและไม่มีไฟลต์บิน สามารถสั่งซื้อสินค้า Duty Free และ Non Duty Free ผ่านช่องทางออนไลน์ ในขณะเดียวกันเราวางแผนบริหารจัดการนำเทคโนโลยีเข้ามาเป็นกลไกสำคัญในการขยายฐานลูกค้า ก่อให้เกิดความสะดวกสบายในการซื้อสินค้าและการบริการ ทำให้ธุรกิจสามารถขับเคลื่อนได้ทั้งระบบในสถานการณ์ที่ไม่มีนักท่องเที่ยวเข้ามา” คุณอภิเชษฐ์ เล่าถึงการ diversify สู่ธุรกิจออนไลน์
พลิกโฉม “Duty Free สุวรรณภูมิ” ครั้งใหญ่ – พัฒนา “คิง เพาเวอร์ มหานคร” เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวครบวงจรระดับโลก
ไม่เพียงแต่พัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อให้ลูกค้าได้ช้อปสินค้า Duty Free และ Non Duty Free คุณภาพชั้นนำจากแบรนด์ทั่วโลก ขณะเดียวกัน “กลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์” ยังได้ลงทุนปรับโฉมพื้นที่ Duty Free ภายในสนามบินสุวรรณภูมิครั้งใหญ่ในรอบ 12 ปี เพื่อยกระดับประสบการณ์ช้อปให้กับนักท่องเที่ยวและนักเดินทาง MICE ได้สัมผัสกับความครบครันของผลิตภัณฑ์ และแบรนด์สินค้าระดับโลก
คุณอภิเชษฐ์ กล่าวว่า หลังจากเปิดประเทศ การเร่งสร้างมูลค่าเพิ่มให้อุตสาหกรรม MICE นับเป็นสิ่งที่ต้องดำเนินการเร่งด่วน เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง นักเดินทางกลุ่ม MICE มีศักยภาพการใช้จ่ายสูง เป็นนักเดินทางในกลุ่ม Quality Visitors แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องการสินค้าและการให้บริการที่มีคุณภาพเช่นกัน
“ดังนั้นเราจึงกำหนดยุทธศาสตร์ส่งมอบประสบการณ์ช้อปปิ้งอย่างมืออาชีพ คู่ขนานทั้งในระบบออนไลน์และออฟไลน์ นำเทคโนโลยีมาบูรณาการให้การเข้าถึงสินค้าและบริการ สร้างมาตรฐานใหม่ของธุรกิจรีเทลเพื่อการท่องเที่ยวหลังสถานการณ์คลี่คลาย ด้วยการปรับโฉมใหม่ของพื้นที่ภายในสนามบินสุวรรณภูมิในรอบ 12 ปี รองรับนักท่องเที่ยวทุกกลุ่มเป้าหมาย
โดยหัวใจสำคัญคือการเป็น World Junction ที่ประกอบด้วย World Fashion World Beauty และ World Duty Free สร้าง ปรากฏการณ์ “ดิวตี้ ฟรี เวิล์ดคลาส ช้อปปิ้ง เดสติเนชั่น” (Duty Free World Class Shopping Destination) ให้สนามบินสุวรรณภูมิ เป็นศูนย์กลางการบินระดับภูมิภาคตอกย้ำภาพลักษณ์สนามบินที่มีความครบครันของแฟล็กชิพสโตร์ของแบรนด์เนมระดับโลก และมีความสมบูรณ์ในระดับสากล
ควบคู่กับการนำเทคโนโลยีแพลตฟอร์มมาบูรณาการโปรแกรมการช้อปปิ้งที่มีอยู่เดิมและพัฒนาขึ้นใหม่ ให้สามารถสร้างประสบการณ์ท่องเที่ยวครบวงจรให้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น”
ขณะเดียวกันได้พัฒนาประสบการณ์ช้อปสินค้า Duty Free แบบไร้ขีดจำกัด ทั้งในสนามบินและสาขาในเมือง (Down Town Duty Free) ในรูปแบบ Total CRM Solution Hub เพื่อตอบโจทย์ด้านสิทธิประโยชน์สมาชิก (King Power Member) โปรโมชั่น (Promotion) เพิ่มช่องทางการสื่อสารระหว่างคิง เพาเวอร์ กับลูกค้า และการค้นหาสินค้าและบริการ รวมไปถึงการซื้อสินค้า Duty Free ในระบบออนไลน์ด้วยบริการ KING POWER CLICK & COLLECT ที่อำนวยความสะดวกในการวางแผนช้อปปิ้ง และรับของง่ายขึ้นที่สนามบินทั้งขาเข้า-ขาออก
“เรายังได้พัฒนา “โครงการคิง เพาเวอร์ มหานคร” ให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวที่ครบวงจร มีมาตรฐานระดับโลก ซึ่งเป็นหนึ่งในการพัฒนาโครงการ สร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวและสิ่งอำนวยความสะดวกในอุตสาหกรรม MICE ตลอดจนการโปรโมทประเทศไทย ภายใต้แคมเปญและโครงการต่างๆ รวมถึงรูปแบบการให้บริการที่ใช้เทคโนโลยีรองรับเพื่อให้เกิดความสะดวกและรวดเร็วทันสมัยมากยิ่งขึ้น”
เชื่อมั่นศักยภาพ–ความพร้อม “ประเทศไทย” ก้าวสู่การเป็น MICE Destination
นอกจากไทยเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกแล้ว ขณะเดียวกันในอุตสาหกรรม MICE ประเทศไทยถือว่ามีศักยภาพ และความพร้อมในการเป็น “MICE Destination” ทั้งในระดับภูมิภาค และระดับโลก เพราะจุดเด่นด้านการเดินทาง โรงแรมที่พัก สถานที่จัดงาน แหล่งท่องเที่ยว สิ่งอำนวยความสะดวก และความโดดเด่นด้าน Hospitality
“ประเทศไทยมีศักยภาพในการจัดงาน MICE เพราะด้วยความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เมื่อเปรียบเทียบกับหลายประเทศในภูมิภาค ไทยมีความพร้อมอย่างมากในทุกๆ ด้าน ทั้งในแง่ของกายภาพ และความสวยงามของสถานที่ท่องเที่ยวทั้ง 77 จังหวัด มีความหลากหลายของแหล่งท่องเที่ยว มีประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่น่าตื่นตาตื่นใจสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติตั้งแต่เหนือจรดใต้
มีโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมที่ค่อนข้างสะดวกสบาย มีสิ่งอำนวยความสะดวกมาตรฐานระดับโลก รวมถึงคุณภาพของสถานที่จัดแสดง จัดอีเวนต์ และการประชุมในระดับนานาชาติที่ดีเยี่ยม และมีชื่อเสียงด้านการให้บริการ จึงสามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้บริการและผู้ประกอบการ MICE ได้ในทุกระดับ” คุณอภิเชษฐ์ แสดงทรรศนะถึงจุดแข็งของอุตสาหกรรม MICE ประเทศไทย
พร้อมขยายความเพิ่มเติมเพื่อให้สอดคล้องแนวคิดในการดำเนินธุรกิจของกลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ ที่ต้องการให้บริการด้านการท่องเที่ยวแบบครบวงจร ด้วยการนำเสนอบริการของธุรกิจให้มีความโดดเด่น สนับสนุนอุตสาหกรรม MICE ของประเทศไทย เช่น โรงแรม หรือธุรกิจ Duty Free มีความพร้อมและได้รับการยอมรับในมาตรฐานการบริการจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก และเวทีธุรกิจปลอดอากรระดับโลกเช่นกัน
อย่างรางวัลที่คิง เพาเวอร์ได้รับจากเมืองคานส์ ประเทศฝรั่งเศสคือ รางวัลชนะเลิศ DFNI FRONTIER AWARDS 2022 สาขารางวัลประเภท AIRPPORT RETAILER OF THE YEAR รวมถึงอีกหลายรางวัลที่เป็นเครื่องหมายการันตีถึงมาตรฐานการให้บริการที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล
นอกจากนี้คิง เพาเวอร์ยังให้การสนับสนุนประเพณีวัฒนธรรมดั้งเดิม สร้างแหล่งท่องเที่ยวในเมืองใหญ่ให้มีความทันสมัย มีสถานที่รองรับการท่องเที่ยวรูปแบบต่างๆ ที่ได้มาตรฐานระดับโลก รวมถึงเป็นสื่อกลางนำพาศักยภาพคนไทย อัตลักษณ์ไทย ให้เป็นที่รู้จักผ่านโครงการ THAI POWER MARKET ในแพลตฟอร์มออนไลน์ที่พัฒนาขึ้น เพื่อยกระดับสินค้าชุมชนท้องถิ่นที่สะท้อนภูมิปัญญาไทยสู่ระดับสากลและสนับสนุนการสร้างอาชีพในชุมชน
“อย่างที่ทราบกันดีว่า ธุรกิจ MICE เป็นอีกหนึ่งสาขาของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ที่สามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศไทย เนื่องจากเป็นการเดินทางท่องเที่ยวที่เน้นคุณภาพ ค่าใช้จ่ายตอบแทนหน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลสูงกว่าการท่องเที่ยวประเภทอื่น หลายประเทศจึงให้ความสำคัญกับธุรกิจ MICE เพื่อยกระดับประเทศ
ด้วยข้อได้เปรียบของประเทศไทยเราในหลายด้านๆ ที่มีความพร้อม หากมีการดึงการประชุม อบรม สัมมนามาจัดที่ประเทศไทยมากขึ้นก็จะสามารถช่วยเร่งการฟื้นเศรษฐกิจในภาพรวม และยังช่วยฟื้นธุรกิจจากการต้องหยุดชะงักในช่วงสถานการณ์ COVID-19 อีกด้วย” คุณอภิเชษฐ์ สรุปทิ้งท้าย