หากพูดถึงบริษัท Royal Plus อาจจะเป็นชื่อที่ไม่คุ้นหูคนไทยเท่าไรนัก แต่สำหรับบรรดานักลงทุนแล้ว PLUS คือบริษัทผู้ผลิตน้ำผลไม้ โดยเฉพาะน้ำมะพร้าวส่งออกไปต่างประเทศมากกว่า 100 ประเทศทั่วโลก หนึ่งในนั้นคือการส่งออกเครื่องดื่มไปวางขายบนชั้นวางของ Walmart ห้างค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดในโลกของสหรัฐ มีผลกำไรเติบโตมากกว่า 100% และแน่นอนว่าบริษัทโรแยล พลัส ยังไม่หยุดแค่นั้น แต่จะเดินหน้าไปอีกในฐานะ Creative Beverage Creator พร้อมบุกตลาดเครื่องดื่ม “Plant Based” ในทวีปยุโรปและตั้งเป้าการเติบโตในระดับ 3 เท่าในอีก 3 ปีข้างหน้าด้วย
ความสำเร็จของ Royal Plus ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นแต่สั่งสมประสบการณ์ยาวนานก้าวผ่านอุปสรรคต่างๆ มาจนถึงเวลานี้ก็เป็นเวลาครบ 25 ปีเต็มและตลอดระยะเวลานั้นจนถึงวันนี้ Royal Plus อยู่ภายใต้การบริหารงานของคุณพลแสง แซ่เบ๊ กรรมการ ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท Royal Plus ที่เล่าถึงเส้นทางในการพา Royal Plus ก้าวเดินจากบริษัทขายเครื่องใช้ไฟฟ้าสู่ธุรกิจผู้ผลิตน้ำผลไม้ส่งออกอันดับต้นๆ ของไทย รวมถึงเป้าหมายในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไปด้วย
จุดเริ่มต้นของ Royal Plus จริงๆ แล้วเป็นธุรกิจซื้อขายเครื่องใช้ไฟฟ้า แต่ด้วยวิสัยทัศน์ของคุณพลแสงที่มองว่าเครื่องใช้ไฟฟ้านั้นมีเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลากลายเป็นความเสี่ยงสำหรับองค์กรจึงหันไปมองธุรกิจที่มั่นคงกว่าอย่างเครื่องดื่มน้ำมะพร้าวซึ่งประเทศไทยมีวัตถุดิบที่มีคุณภาพระดับโลก และมองไปที่ตลาดต่างประเทศก่อนเป็นสิ่งแรก
“ในโลกนี้ก็มีมะพร้าวอยู่ไม่กี่ประเทศ ลักษณะแบบมะพร้าวที่สามารถที่จะทำเป็นอุตสาหกรรมได้ก็มีไม่กี่ประเทศ โดยเฉพาะในประเทศไทยที่มีรสชาติของมะพร้าวที่ดีที่สุด ก็เลยเป็นที่มาที่ไปว่า การที่เรามีวัตถุดิบที่ดีที่สุด ทำไมเราไม่สร้างอะไรที่ดีๆ ส่งไปต่างประเทศ ” คุณพลแสงระบุ
ด้วยคุณภาพของวัตถุดิบที่โดดเด่นตรงใจกับกลุ่มเป้าหมายในต่างประเทศ บวกกับแนวคิดการดำเนินธุรกิจที่ไม่หยุดนิ่งของคุณพลแสง ทำให้ Royal Plus สามารถสร้างความแตกต่างด้วยผลิตภัณฑ์น้ำมะพร้าวบรรจุขวดแก้วพรีเมี่ยม และเป็นเจ้าแรกๆ ที่นำเทคโนโลยีเติมเนื้อมะพร้าวเข้าไปในขวดที่สามารถดื่มเข้าไปพร้อมๆ กับน้ำโดยไม่ตกตะกอน นอกจากนี้ยังนำระบบ Smart Production เข้ามาใช้ มีระบบ Automation ในไลน์ผลิตมากขึ้นซึ่งเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพคงที่ มี Economy of Scale จนสามารถสร้างการเติบโตในตลาดต่างประเทศได้อย่างต่อเนื่องและก้าวข้ามทุกวิกฤตมาได้อย่างสบายๆ
และเพื่อการเติบโตที่มั่นคงมากขึ้นทั้งสำหรับตัว Royal Plus เองรวมถึงพนักงานของบริษัท คุณพลแสงจึงตัดสินใจนำ Royal Plus เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์เมื่อปี 2565 ที่ผ่านมา ซึ่งคุณพลแสงก็สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนด้วยการวางแผนขยายตลาดที่มีอยู่เดิมรวมถึงตลาดใหม่ๆ อย่างเช่นตลาดในทวีปยุโรป ที่จะนำสินค้า Plant Based ไปเปิดตลาด
นอกจากนี้ยังมีภูมิภาคตะวันออกกลาง ที่จะมีสินค้าใหม่ๆ เพิ่มปริมาณส่งออกจากไลน์ผลิตใหม่ รวมไปถึงญี่ปุ่นที่จะปิดดีลกับร้านสะดวกซื้อที่มีอยู่ทั่วประเทศ ซึ่งหากปิดดีลได้ก็จะทำให้การเติบโตในช่วงครึ่งปีหลังสดใส
คุณพลแสงยังเปิดเผยถึงแผนธุรกิจที่จะขยายตลาดมายังภูมิภาค CLMV รวมถึงในประเทศไทยด้วยโดยปัจจุบันได้เริ่มเพิ่มไลน์ผลิตเครื่องดื่มบรรจุขวด PET ที่เหมาะสมกับตลาดในระแวกบ้านเรามากขึ้นซึ่งจะเป็นโอกาสที่จะสร้างความเติบโตให้กับ Royal Plus มากขึ้นไปอีก
“ในปี 2023 เราตั้งเป้าหมายว่าจะเติบโตประมาณ 30% เนื่องจากว่าดูปัจจัยหลายๆ อย่าง และก็อาจจะตั้งอย่าง Conservative สักหน่อย แต่ถ้าโอกาสดีหรือว่าเวลาการติดตั้งเครื่องจักรใหม่ หรือว่าไลน์ผลิตใหม่พร้อม ก็มีโอกาสที่จะมากกว่าเป้าที่เราตั้งไว้” คุณพลแสงเล่า
ปัจจุบัน Royal Plus มีสินค้า Flagship คือ “น้ำนมมะพร้าว” แบรนด์ Coco Royal ที่เริ่มส่งขายที่ประเทศอเมริกาเป็นที่แรกก่อนที่จะกระจายไปสู่จีนและอีกหลายๆ ประเทศทั่วโลก นอกจากนี้ยังมีน้ำผลไม้ผสมแมงลักแบรนด์ Nita ที่ส่งไปบุกตลาดตะวันออกกลางรัสเซีย เอเชียกลาง รวมไปถึง ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้
Royal Plus ยังพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่องเปิดไลน์อัพ “ชานมไข่มุก” แบรนด์ Mabu Moba ที่เป็นชานมไข่มุกที่ได้ตราสัญลักษณ์ Healthier Choice ที่น้ำตาลน้อย ไขมันน้อย และ Low Sodium ที่เริ่มทำตลาดในประเทศไทยแล้ว เรื่อยไปถึงสินค้าใหม่อย่าง Cocogurt เครื่องดื่มโยเกิร์ต ผสมโปรตีนจากพืช ที่เป็นการบุกตลาดสาย Plant Based ที่กำลังเป็นที่นิยมในยุโรปด้วย
การแตกไลน์ผลิตภัณฑ์ Plant Based เป็นสิ่งที่พิสูจน์วิสัยทัศน์ของคุณพลแสง ที่มองเห็นเทรนด์แห่งอนาคตที่ผู้คนเริ่มให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมหลีกเลี่ยงการบริโภคสินค้าปศุสัตว์ที่เป็นอุตสาหกรรมที่ปล่อยคาร์บอนมหาศาลและเป็นสาเหตุสำคัญของปัญหา Climate Change ในปัจจุบัน นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์ Plant Based ยังดีต่อสุขภาพมากกว่าผลิตภัณฑ์จากสัตว์ นั่นจึงเป็นที่มาของผลิตภัณฑ์โยเกิร์ตผสมโปรตีนจากพืช ที่จะถูกส่งไปรุกตลาดโลกต่อไป
คุณพลแสงเน้นย้ำอีกครั้งว่า Royal Plus จะไม่ได้เติบโตแบบเน้นสร้างผลกำไรเพียงอย่างเดียวแต่จะต้องเติบโตไปอย่างยั่งยืนด้วยตามแนวคิดของบริษัทที่ว่า “สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพด้วยนวัตกรรมอย่างไม่หยุดนิ่ง บวกประสบการณ์ความสุขให้ผู้บริโภคทั่วโลก พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตให้ทุกคนอย่างยั่งยืน
“เรายึดหลักสำคัญ 3 ข้อก็คือ Business Plus Value หรือการทำธุรกิจที่มีกำไรและเติบโต แต่ก็ต้องมาพร้อมกับ Work Plus Happiness ก็คือบุคลากรทำงานต้องมีหลักประกันแล้วก็มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความสุขในการทำงาน และสุดท้ายคือ Heart Plus Love หมายถึงการทำธุรกิจด้วยความรัก ดูแลคนรอบข้างไม่ว่าจะเป็น ลูกค้า ซัพพลายเออร์ คนในชุมชน รวมถึงสิ่งแวดล้อม” คุณพลแสง ระบุ
คุณพลแสงปิดท้ายโดยระบุว่า ปี 2022 เราทำได้ดีมากเนื่องจากเติบโต 40-50% ส่วนกำไรก็เติบโตมากกว่า 100% เพราะฉะนั้นการที่จะทำให้ปี 2023 ดีกว่านี้ก็เป็นความท้าทายที่เราคิดว่าทำได้ และปีนี้เองก็เป็นปีสำคัญของเราที่บริษัทก่อตั้งมาครบรอบ 25 ปี เพราะฉะนั้นเราก็มีแนวคิดต่อยอดไป ในคอนเซ็ปต์ “พร้อมบวก” ไม่ว่าจะเป็นบวกด้วย “คุณภาพ” บวก “ความสุข” รวมไปถึงบวกด้วย “ความรัก” ในการที่จะเติบโตไปพร้อมกับลูกค้า ซัพพลายเอร์ และสังคมโดยรวม
ความสำเร็จทั้งหมดของ Royal Plus เป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นเป็นอย่างดีว่า การพัฒนาที่ไม่หยุดนิ่งทั้งในแง่ของนวัตกรรมการผลิตและการพัฒนาสินค้า ได้สร้างความเติบโตให้กับบริษัทแห่งนี้มาอย่างต่อเนื่อง และนั่นก็ทำให้เชื่อได้ว่าแผนธุรกิจในอีกหลายปีข้างหน้าจะทำให้ Royal Plus เติบโตยิ่งขึ้นกว่านี้ และไม่ใช่เฉพาะในตลาดโลกที่จะเป็นที่รู้จัก Royal Plus แต่รวมถึงตลาดในประเทศเพื่อนบ้านและในประเทศไทยที่จะได้สัมผัสสินค้าที่ผ่านการพิสูจน์ในตลาดระดับโลกมาแล้วด้วย