หลังจากที่หลายๆ ธุรกิจเริ่มปรับตัวฟื้นตัวจากการซบเซาในช่วงวิกฤตโควิด-19 ธุรกิจคลินิกความงาม ที่มีมูลค่ากว่า 30,000 ล้านบาท ก็ได้รับผลกระทบไปด้วยจากการล็อกดาวน์เกือบ 2 ปีเต็ม วันนี้ได้กลับมาเปิดบริการเต็มรูปแบบอีกครั้ง แต่ก็ยังมีความท้าทายที่รออยู่อีก ไม่ว่าจะเป็น ปัจจัยทางเศรษฐกิจที่กำลังซื้อยังไม่สู้ดีนัก พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปจนแทบไม่เหมือนเก่า และการเข้ามาของยุคดิจิทัลที่ดิสรัพท์ธุรกิจแบบเดิมๆ ไปหมดแทบจะทุกอย่าง แล้วธุรกิจคลินิกความงามจะปรับตัวอย่างไร
ดังนั้นเพื่อเป็นความรู้ให้แก่ธุรกิจคลินิกความงามในช่วงนี้ว่าจะปรับตัวอย่างไรถึงจะก้าวข้ามอุปสรรคไปได้ เราได้โอกาสจากผู้นำธุรกิจคลินิกความงามที่อยู่มาทุกยุคผ่านมาทุกวิกฤตแล้ว กับความสำเร็จที่ยาวนานกว่า 20 ปี ซึ่งปีนี้มาพร้อมกับแคมเปญ “โค้ชความงามส่วนตัว” แนวคิดที่จะช่วยดูแลลูกค้าแบบตรงจุดเฉพาะบุคคล ภายใต้แนวคิด “For The Better You สวยในแบบที่เป็นคุณ” โดยผู้ที่จะมาเล่าถึงเบื้องหลังไอเดียต่างๆ เป็นใครไม่ได้นอกจากแม่ทัพหญิงคนนี้ “คุณจอย – ขวัญฤทัย ดำรงค์วัฒนโภคิน” กรรมการผู้จัดการ บริษัท รมย์รวินท์ คลินิก จำกัด
วิกฤตโควิดกระทบธุรกิจ แต่สามารถพลิกสถานการณ์ด้วยการปรับตัวที่รวดเร็ว
ในช่วงก่อนวิกฤตโควิดต้องบอกว่าเป็นช่วงที่ธุรกิจคลินิกความงามเติบโตได้ดีทีเดียว แต่เมื่อต้องพบการล็อกดาวน์ที่ผ่านมาก็ทำให้ต้องปรับตัวหนักมาก คุณจอยเล่าย้อนให้ฟังว่า ช่วงนั้นต้องบอกว่าธุรกิจความงามใครๆ ก็สนใจอยากที่จะเข้ามาลงทุน ทำให้การแข่งขันสูงมาก แต่พอต้องปิดเพราะคำสั่งล็อกดาวน์ก็ทำให้ชะงักไปพอควร แต่ทางเราก็มีการปรับตัวอย่างรวดเร็ว โดยเรามีการปรับลดค่าใช้จ่ายบางส่วนลง พร้อมกับดึงเอาน้องๆ พนักงานให้นำผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ในร้านไปขายออนไลน์ให้กับลูกค้า ก็ทำให้พนักงานมีรายได้จากยอดขาย ซึ่งทุกคนก็แฮปปี้ แถมบางคนยังมีรายได้มากกว่าตอนโควิดเสียอีก
จากนั้นก็เป็นในช่วงที่โควิดเริ่มอยู่ตัว แต่ความต้องการและพฤติกรรมของลูกค้า ได้ปรับเปลี่ยนไปในช่วงโควิด แล้วเราก็ต้องปรับตัวตามให้ทัน โดยที่ทางคลินิกเราเน้นและให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยและสุขภาพทั้งของลูกค้า คุณหมอ และพนักงานของเราทุกคน โดยเราจะมีการดูแลด้านความสะอาดในคลินิกอย่างเคร่งครัด พนักงานและคุณหมอก็จะมีการตรวจ ATK ทุกวัน ในขณะที่ลูกค้าที่จะเข้าใช้บริการก็มีการนัดหมายกันอย่างดีก่อนมาใช้บริการเพื่อไม่ให้แออัดมากเกินไป
อย่างไรก็ตาม ยังพบว่าในช่วงหลังโควิด นอกจากจะเกิดดิจิทัลเข้ามาดิสรัพท์ธุรกิจทำให้หลายอย่างเป็นออนไลน์มากขึ้น ในขณะที่ดีมานด์ไม่ได้ลดลงเลย ก็ส่งผลให้พฤติกรรมลูกค้าเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด โดยปัจจุบันลูกค้ามีการหาข้อมูลมาก่อนจะพบแพทย์ ดังนั้น เราจึงต้องปรับตัวให้ทันด้วย ต้องมีการเตรียมข้อมูลให้ดี หาข้อมูลทุกสิ่งทุกอย่างที่ถูกต้องในการให้คำแนะนำที่ดีแก่ลูกค้าเพื่อให้ได้รับบริการที่ดีที่สุด รวมไปถึงการที่ลูกค้าใช้เวลาอยู่ในคลินิกน้อยลง จึงต้องการบริการที่รวดเร็วเรียบร้อยจบครบในที่เดียว ตรงนี้เราก็เร่งปรับตัวให้ทันกับความต้องการใหม่ที่เกิดขึ้นด้วย
แนวคิด ‘For The Better You สวยขึ้นในแบบที่เป็นตัวเอง’ กับการรุกตลาดความงามเทรนด์ใหม่
อย่างที่กล่าวว่าตลาดของธุรกิจความงามเปลี่ยนแปลงไปมากแต่ความต้องการไม่ได้ลดลง ดังนั้นการแข่งขันยังสูงมากเช่นเดิม สิ่งที่รมย์รวินทร์ยืนยันคือไม่ลงไปแข่งขันในเรื่องของราคา แต่จะเพิ่มคุณภาพให้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ คุณจอยย้ำว่า หลายแห่งอาจจะลงไปแข่งกันเรื่องของการอัดโปรโมชั่นหรือเล่นเรื่องการตัดราคา แต่ทางเราจะเน้นการพัฒนาทีมแพทย์ อบรมพนักงานให้มีความรู้เพื่อให้การดูแลลูกค้าออกมาดีที่สุด คุ้มค่าที่สุด และนำมาซึ่งความพึงพอใจแล้วลูกค้าก็จะกลับมาหาเราเอง
นอกจากนี้ เรายังมีการวางแนวคิด “For The Better You สวยขึ้นในแบบที่เป็นตัวเอง” เนื่องจากว่าปัจจุบันเรื่องของความงามมันไม่มีนิยามที่ตายตัว No Beauty Standard แต่คุณสามารถสวยได้ในแบบของคุณเอง ไม่ว่าคุณจะเป็นแบบไหน จึงทำให้เราเกิดแนวคิดเรื่องของ For the Better You ขึ้นมา เพื่อให้เขาสวยให้เขาดูดีขึ้นในเอกลักษณ์ของตัวเขาเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่เราจะนำมาพัฒนาและสู้กับคู่แข่งตลาดความงามในปัจจุบัน
เปิดตัว ‘โค้ชความงามส่วนตัว’ ตอบโจทย์ความต้องการที่เปลี่ยนไปของลูกค้า
นอกเหนือไปจากการวางแนวคิดแล้ว ก็จะมี แนวคิด การบริการที่น่าสนใจเพื่อตอบโจทย์ความต้องการและพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของลูกค้าก็คือ “โค้ชความงามส่วนตัว” ซึ่งคุณจอยเล่าว่า สืบเนื่องจากแนวคิด For the Better You ดังนั้นเพื่อดูแลให้ลูกค้าสวยในแบบของตัวเอง ดังนั้น ลูกค้าก็ต้องการการดูแลที่เฉพาะตัวเฉพาะบุคคลมากขึ้น ดังนั้นพนักงานของเราทุกคนจะต้องใส่ใจและมอบความรู้สึกในการรับบริการให้กับลูกค้าเสมือนเป็นโค้ชความงามส่วนตัวของลูกค้า พนักงานของเรา จะคอยดูแลสอบถามว่าลูกค้ามีปัญหาอะไร ต้องการให้เราช่วยอะไรบ้าง เพื่อให้ได้รับการรักษาที่ตรงจุดทำให้เขาสวยในแบบฉบับของตัวเอง มีความมั่นใจมากขึ้น ซึ่งก็พบว่าได้รับการตอบรับที่ดีมาก เพราะทำให้ผลการรักษาที่ตรงจุดตรงความต้องการของลูกค้า ทำให้เขาพึงใจในการรักษา และเมื่อเขาสวยแล้วก็จะเกิดการบอกต่ออีกที ทำให้ลูกค้ามาหาเราเพิ่มมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการพัฒนาตัวบุคลากรของเราก็ไม่หยุดเช่นกัน รวมไปถึงการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ใช้ในการดูแลลูกค้าเราก็คัดเลือกเครื่องมือที่ดีที่สุดมาให้บริการแก่ลูกค้า และนอกจากนี้ก็จะมีการขยายสาขาให้ครอบคลุมมากขึ้นทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เพื่อให้ได้รับการบริการที่สะดวกตามสโลแกน “ใกล้ที่ไหน ไปที่นั่น” นี่คือสิ่งที่เราจะรุกไปข้างหน้า
การไม่หยุดพัฒนาและรักษาคุณภาพ จุดแข็งสำคัญของ “รมย์รวินท์”
คุณจอย ยังกล่าวถึงจุดแข็งสำคัญที่ทำให้รมย์รวินท์ เป็นที่ไว้วางใจแก่ลูกค้ามาตลอด 20 ปีว่าคือความใส่ใจในทุกๆ อย่าง ทั้งการให้บริการและผลการรักษาที่ต้องได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด เพราะเราเลือกเครื่องมือที่ดีที่สุด ทันสมัยที่สุด และปลอดภัยที่สุดมาใช้ รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่คุณหมอฐาคิดค้นขึ้นมาก็จะช่วยในการดูแลผิวพรรณให้กับลูกค้าอย่างดีและตรงจุด ปลอดภัยไม่แพ้ ไม่ระคายเคือง นอกจากนี้ ในส่วนของทีมแพทย์ทุกคนนั้น คุณหมอฐา (พญ.ฐานิสร ธรรมลิขิตกุล ผู้อำนวยการ รมย์รวินท์คลินิก แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางโรคผิวหนัง) ให้การอบรมเอง ดังนั้น ทุกท่านก็จะมี DNA ของคุณหมอฐาทุกคน แพทย์ทุกคนก็จะมีความเก่งได้มาตรฐานเดียวกันหมด และสุดท้ายเลยคือ การฝึกอบรมพนักงานของเราให้มีการบริการที่ดีดูแลเอาใจใส่ลูกค้า ติดตามตั้งแต่ก่อนรักษาและหลังรักษาเพื่อให้เขาได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและคุ้มค่าที่สุด
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันสิ่งที่เป็นห่วงผู้บริโภคมากก็คือ เนื่องจากมีข้อมูลในอินเตอร์เน็ตมากมาย ซึ่งข้อมูลบางอย่างอาจจะทำให้ลูกค้าสับสนได้ ดังนั้น สิ่งที่อยากจะฝากบอกในการเลือกใช้บริการคลินิกที่ดี เราควรพิจารณาให้รอบคอบ ดูทั้งเรื่องประสบการณ์ ศึกษาสอบถามจากคนรอบข้างก่อนว่าเคยมาทำหรือไม่แล้วผลลัพธ์เป็นอย่างไร มีใบอนุญาตหรือไม่ มีการรับรองจาก อย. หรือไม่ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าสถานที่นั้นบริการดีจริง ได้ผลดีจริง และที่สำคัญคือเพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเอง
สุดท้ายสิ่งที่คุณจอยให้คำแนะนำแก่ผู้ประกอบการธุรกิจความงามในฐานะที่มีประสบการณ์ในธุรกิจมากว่า 20 ปีว่า สิ่งสำคัญหลังจากที่คุณทำการตลาดดีแล้ว ทำโฆษณาได้ดีแล้ว ก็ต้องไม่ลืมเรื่องของคุณภาพในการรักษาและการใส่ใจเรื่องของการบริการด้วย แต่ก็เชื่อว่าคนไทยเก่งอยู่แล้ว ทั้งเทคโนโลยีและบุคคลากร ยิ่งในช่วงนี้ที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว ประเทศกลับมาเปิดได้มากขึ้นอีกครั้ง เชื่อว่าถ้าไม่ลืมตรงนี้ธุรกิจเราเติบโตไปได้อีกยาวไกลอย่างแน่นอน