“ลูกร้องไห้ไม่หยุดเลย แบบนี้เป็นโคลิครึเปล่า?”
“ลูกกินนมแม่ต้องตบเรอไม๊?”
“ลูกจามทั้งวัน แต่ไม่มีน้ำมูกไหล แบบนี้เรียกเป็นหวัดรึเปล่า?”
ถ้าเป็นสมัยก่อนที่อินเตอร์เน็ตเบ่งบาน เราอาจจะต้องพึ่งข้อมูลจากคนใกล้ตัวเช่น คุณแม่ พี่สาว หรือคนที่มีประสบการณ์ในการมีลูกแล้ว แต่เมื่ออินเตอร์เน็ตเข้ามาบรรดาพ่อๆ แม่ ๆ ก็เริ่มมีช่องทางในแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ในการเลี้ยงลูกร่วมกันได้
และนอกเหนือจากการหาความรู้ในหมู่พ่อแม่ด้วยกันแล้ว พ่อแม่ยุคใหม่ก็ยังนิยมหาข้อมูลผ่านกูรูและบล็อกเกอร์ต่างๆ เพื่อเสริมความรู้และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ตรงจากกลุ่มผู้รู้เหล่านี้ และหนึ่งในบล็อกเกอร์ที่ได้รับความนิยมของพ่อแม่มือใหม่ทั้งหลายได้แก่ “คุณจริยาภรณ์ วงศ์สวัสดิ์” หรือ “แม่แอร์” แห่ง TheLovelyAir.com นั่นเอง
ทั้งนี้ “แม่แอร์” ได้รับการยอมรับในหมู่พ่อแม่ยุคใหม่ว่าเป็นบล็อกเกอร์ที่รู้จริง เพราะบทความของเธอถ่ายทอดมาจากประสบการณ์จริงของการเป็นแม่ฟูลไทม์ที่เลี้ยงลูกน้อย 2 คน ได้แก่ “น้องดีดี้” และ “น้องลูฟวร์” ด้วยตัวเธอเอง นอกจากนี้ ข้อมูลอื่นๆ ที่นำมาบอกเล่าก็ยังมาจากการค้นคว้าทำการบ้านด้วยตัวเอง ไม่ได้เกิดจากการแชร์แล้วส่งต่อๆ กันมาอย่างที่เราเห็นกันอยู่บ่อยๆ นั่นทำให้เธอได้รับการยอมรับว่าเป็นกูรูตัวจริงเรื่องแม่และเด็กคนหนึ่งในวงการบล็อกเกอร์สายครอบครัวเลยทีเดียวค่ะ
และด้วยประสบการณ์มากมายทั้งในการทำเว็บและการเขียนบล็อกของเธอทำให้ Marketing Oops! เข้าไปพูดคุยเพื่อขอเคล็ดลับในการเขียนบล็อกเพื่อเป็นประโยชน์กับผู้อ่านในยุคโซเชียลฯ ครองเมืองนี้
จุดเริ่มต้นในการเขียนบล็อก
แม่แอร์ เล่าวว่า ด้วยความที่เรียนจบมาทางด้าน Management Information System และทำงานในแวดวงไอทีมานาน คลุกคลีกับการทำเว็บ การเขียนเว็บ แล้วยังเคยทำเพจมาหลายเพจด้วย เช่น เพจคนรักกล้อง เพจท่องเที่ยว เพจสัตว์เลี้ยง ฯลฯ ทำให้อยากที่จะทำเพจของตัวเองบ้างแต่ก็ยังไม่มีโอกาส จนกระทั่งลาออกจากงานประจำเพื่อมาเป็นคุณแม่เต็มเวลา
“การเป็นคุณแม่ก็มีความสุขดีค่ะ แต่ถ้าไม่ได้ทำงานเลยมันเหมือนไม่ใช่ตัวเราเอง และอีกอย่างด้วยเทคโนโลยีมันทำให้เราสามารถทำงานอยู่ที่บ้านก็ได้ ก็เลยเกิดความคิดที่จะมาเขียนบล็อก โดยได้จดโดเมนเนมชื่อ thelovelyair.com ไว้นานแล้วด้วย แต่ก็ยังนึกไม่ออกว่าจะทำอะไรดี ตอนนั้นตั้งท้องอยู่ก็เลยอยากจะเขียนไดอารี่เล็กๆ เป็นบันทึกเรื่องราวการท้องของตัวเอง เลยลองเขียนดูเล่นๆ ตอนนั้นท้องน้องดีดี้ลูกคนโตราว 4-5 เดือน ในปี 2013 พอมีคนเอาไปแชร์และเข้ามาพูดคุยโต้ตอบกันกับผู้อ่านทำให้เราก็รู้สึกดีและมีกำลังใจก็เลยเขียนเรื่อยๆ มา”
ความโดดเด่นที่ทำให้เราแตกต่างจากบล็อกเกอร์ในกลุ่มเดียวกันคืออะไร
แม่แอร์ บอกว่าเป็นความแตกต่างทางด้านคอนเทนต์ โดยจะเน้นเนื้อหาสำหรับคุณพ่อคุณแม่รุ่นใหม่ เพราะส่วนตัวเองก็เป็นคนที่ค่อนข้างหัวสมัยใหม่ อาจจะด้วยความที่ถูกเลี้ยงมาในแบบสมัยใหม่มากๆ ด้วย คุณพ่อคุณแม่ของเราค่อนข้างเป็นยุคเก่าที่ทันสมัยไม่หัวโบราณจ๋า ทำให้ชอบเปิดรับสิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา ดังนั้น เนื้อหาที่เรานำเสนอจึงค่อนข้างแตกต่าง เพราะมีการผสมผสานทั้งความรู้เก่าและใหม่มาใช้ร่วมกันอย่างมีเหตุมีผล
“แอร์เองอยากจะเลี้ยงลูกให้มีภูมิคุ้มกันกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนไปในทุกๆ วัน รวมทั้งในอนาคตด้วย แม้จะหัวสมัยใหม่ยังไง ก็ยังคิดว่าความรู้ในอดีตก็ยังสำคัญ แต่เรื่องบางเรื่องมันก็ต้องมีเหตุและผลมารองรับด้วย อย่างที่ผู้ใหญ่คนโบราณเค้าพูดๆ กันมา เราก็ต้องมาดูว่า ในปัจจุบันวิทยาศาสตร์เค้าว่ายังไง เหตุและผลเป็นยังไง เช่น สมัยก่อนให้เด็กกินกล้วยตั้งแต่ 4 เดือน แต่ตอนนี้มันมีข้อมูลและมีสถิติบอกอย่างชัดเจนว่า เด็กไม่ควรกินอย่างอื่นเลยนอกจากนมในช่วง 6 เดือนแรก ซึ่งเราก็ต้องอัพเดทข้อมูลใหม่ๆ ให้คุณพ่อคุณแม่มือใหม่รับทราบด้วย นี่อาจจะทำให้เนื้อหาคอนเทนต์ของแอร์แตกต่างจากที่อื่น ซึ่งยึดหลักข้อมูลที่ถูกต้องและประสบการณ์ตรงนั่นเองค่ะ”
ยุคข้อมูลข่าวสารผ่านโซเชียลฯ มีเดียมากมาย พ่อแม่ควรจะต้องรับมืออย่างไรในการเสพข่าวสารพวกนี้
แม่แอร์ให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า ปัจจุบันข้อมูลข่าวสารมีมากมาย และมีหลากหลายในโซเชียลมีเดีย ในแง่หนึ่งก็เป็นเรื่องดี แต่ในอีกแง่หนึ่งก็มีความน่ากลัวว่ามันเป็นข้อมูลที่ถูกต้องน่าเชื่อถือได้หรือไม่ เพราะบางเว็บเองก็เขียนมาไม่โดยไม่มีข้อมูลอ้างอิงทางวิทยาศาสตร์เลย ดังนั้น ก็ต้องขึ้นอยู่กับคนที่อ่านข่าวผู้รับสื่อต้องพิจารณาให้ดีว่าสิ่งนี้น่าเชื่อถือหรือไม่
“อยากจะให้คุณพ่อคุณแม่อ่านเยอะๆ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลในไทยและต่างประเทศ เพราะข้อมูลในอินเตอร์เน็ตมันมีเยอะแยะ มีมากมายมหาศาลเลยเรื่องการเลี้ยงลูก ไม่ใช่อ่านบทความเดียวแล้วเชื่อถือเลย เช่น เรื่องการลดไข้ลูกมันก็จะมีหลายสูตรทั้งแบบโบราณและแบบสมัยใหม่ ก็อยากให้หาข้อมูลหลายด้านและพิจารณาตามเหตุและผลว่าสิ่งไหนที่เหมาะกับเราและลูกเรามากที่สุดก็ให้หยิบนำมาใช้ดีกว่า นอกจากนี้ เวลาที่อ่านบทความแล้วก็อาจจะต้องอ่านในคอมเมนต์ด้วยเพื่อประกอบการตัดสิน เพราะบางทีบางบทความก็เป็นข้อมูลเพียงแค่ส่วนเดียว”
แม่แอร์ยังได้ยกตัวอย่าง ข่าวเฟคที่ถูกปล่อยกันจนกลายเป็นไวรัลสร้างความเข้าใจผิดในกลุ่มแม่ๆ ไปทั่วว่า อย่างบทความหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องไนเตรท เคยเจอบางเว็บที่มีลักษณะคลิกเบท บอกว่า “ผักขม” มีไนเตรทสูงเด็กทารกไม่สามารถกินได้ และปรากฏว่ามีคนแชร์ต่อๆ กันเยอะมาก และเราเองก็เป็นคนหนึ่งที่ทำผักขมให้ลูกกินแล้วก็มีคนมาทักว่าเนี่ยมันไม่ได้นะเป็นอันตราย
“เราก็สงสัยว่าเอ๋จริงหรือเราก็ให้ลูกกินปกติไม่เห็นเป็นไรเลย มันก็เลยจุดประเด็นให้เราไปค้นคว้าต่อ ปรากฏว่าข้อมูลทางการแพทย์ระบุว่า เด็กอายุ 6 เดือนขึ้นไปลำไส้ต่างๆ ปรับหมดแล้ว เกือบใกล้เคียงกับเด็กโต ดังนั้น ไนเตรทที่กินเข้าไปก็ไม่เป็นไร ร่างกายสามารถปรับสภาพได้ไม่มีปัญหา แต่จะมีปัญหาก็ต่อเมื่อกินไนเตรทในปริมาณที่สูงมากๆ เท่านั้น และต้องกินแบบเอาเป็นเอาตายจริงๆ อันนั้นแหละถึงจะเป็นอันตรายได้ แต่ก็แชร์กันเยอะมาก ก็อยากจะให้พ่อแม่ได้อ่านกันเยอะ หาข้อมูลกันเยอะๆ ด้วยก่อนที่จะเชื่อ”
ให้คำแนะนำคุณพ่อคุณแม่ในการดูแลลูกหลานในการใช้โซเชียลฯ อย่างไร
แม่แอร์ ย้ำว่า พ่อแม่อาจจะต้องอยู่ใกล้ๆ ลูก ระหว่างที่ลูกนั่งเสิร์ชอินเตอร์เน็ตหรือหาข้อมูลอยู่ เพื่อคอยให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด หรือบางทีเราอาจใช้เทคโนโลยีที่จะช่วยสแกนหรือคัดกรองบางเว็บที่ไม่เหมาะสมได้ในคอมพิวเตอร์ด้วยก็ได้ แต่ในอีกทางหนึ่งก็ไม่ควรทำให้เขารู้สึกอึดอัดมากเกินไปหรือทำให้รู้สึกไม่เป็นส่วนตัว แต่ก็พยายามใกล้ชิดมีความเป็นเพื่อนมากขึ้นก็อาจจะช่วยตรงนี้ได้
“ส่วนตัวแล้วคิดว่าถ้าลูกโตแล้วก็คงคิดว่าไม่ปิดกั้นเสียจนขนาดที่ปิดจนเขาไม่รับรู้อะไรเลย เขาจำเป็นต้องรับรู้ว่าอันนี้คือสิ่งที่ดี และอันนี้คือสิ่งที่ไม่ดี เขาต้องรู้บ้างว่าโลกทุกวันนี้มันเป็นยังไง อย่างที่บอกว่าเลี้ยงลูกอย่างมีภูมิคุ้มกัน คือเขาจะต้องรู้ว่ามันดีหรือไม่ดี”
สำหรับในกรณีเด็กเล็ก แม่แอร์แนะนำว่า ตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญบอกว่าเด็กเล็กอายุไม่ถึง 2 ขวบยังไม่ควรให้ดูทีวีหรือเล่นแท็บเล็ตโดยลำพัง เพราะมันจะมีผลเสียด้านพัฒนาการต่างๆ ได้ เช่น พูดช้า แต่ก็เข้าใจว่าในยุคนี้คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่นเขาอาจจะเห็นพ่อแม่ใช้งานมือถือหรือแท็บเล็ตบ้าง ดังนั้น เราก็อาจจะให้เขาจับได้บ้างแต่ในเวลาที่จำกัด แล้วก็พยายามเบี่ยงเบนความสนใจให้ไปเล่นอย่างอื่นแทน อย่างตนเองถ้าเห็นว่าลูกเริ่มเล่นปั๊ป ก็ต้องรีบวางงานในมือตัวเองแล้วหันไปเล่นกับลูกทันทีเหมือนกัน ดังนั้น เราจะต้องเป็นตัวอย่างที่ดีอันดับแรกเลย
“ในโลกออนไลน์เหมือนเป็นดาบ 2 คม ถ้าสำหรับครอบครัวที่เด็กเล่นอินเตอร์เน็ตแล้วเราก็ไม่ควรจะปล่อยลูกไว้โดยลำพัง อาจจะต้องมีขีดจำกัดการและให้เวลาลูกบ้าง ที่สำคัญคือข้อมูลบนอินเตอร์เน็ตมีทั้งที่เป็นด้านมืดและสีเทา ดังนั้น พ่อแม่จะต้องคอยสังเกตและหยิบยกตัวอย่างให้กับลูกได้เข้าใจด้วย อย่างในมือถือที่ตอนนี้มีกล้องติดแทบทุกเครื่องและอาจจะไปถ่ายรูปในอากัปกริยาที่ไม่เหมาะสมแล้วโพสต์ พ่อแม่ก็ต้องคอยสอดส่องดูแลลูกด้วย แต่ก็ต้องพยายามทำให้เขาเชื่อใจและไว้วางใจเราด้วย”
เหตุการณ์ประทับใจในการทำงานในฐานะบล็อกเกอร์
แม่แอร์ เล่าว่า การทำงานในฐานะผู้ให้แนะนำและให้ข้อมูลแก่พ่อแม่ในการเลี้ยงลูกนั้น นอกเหนือจากการสร้างสรรค์คอนเทนต์แล้ว ก็ยังเคยทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่น้องๆ ที่ท้องก่อนวัยอันควรด้วย ซึ่งเรื่องนี้ยืนยันว่าไม่ได้สนับสนุน แต่น้องๆ เหล่านี้เราต้องเข้าใจว่าเขาไม่มีที่พึ่ง เขาไม่รู้ว่าจะไปหาคำแนะนำจากไหน พอเขาได้มาอ่านเรา เขาก็กล้าที่จะพูดกับเราคือรู้สึกว่าเราน่าจะช่วยเขาได้ ซึ่งตรงนี้ก็ยินดีมากที่จะให้คำแนะนำ ดีกว่าให้ไปหาคนที่แนะนำในทางที่ผิด
“เชื่อไหมว่าส่วนใหญ่ที่เข้ามาถามคือเด็กวัยรุ่น อันนี้มีเยอะมาก พอมาทำตรงนี้ทำให้เรารู้ว่าเขาไม่สามารถที่จะคุยกับคนใกล้ตัวได้ เขาก็จะเข้ามาสอบถามว่า พี่หนูจะทำยังไงดี หนูจะเลี้ยงลูกยังไงดี หนูกลัวคลอด อะไรแบบนี้ ซึ่งคำพูดที่เราอ่านจะเห็นว่าส่วนใหญ่ยังเด็กมากจริงๆ บางคนยังแค่มัธยมอยู่เลย เด็กบางคนแอร์ก็ติดต่ออยู่ มีอะไรเราก็คอยช่วยเหลือตลอด เช่นส่งหนังสือเรื่องการดูแลครรภ์ไปให้บ้าง ส่งของไปให้บ้าง เพราะบางคนท้องแต่บ้านยากจนก็มี”
เกณฑ์ในการเลือกสินค้าให้เหมาะสมกับบล็อกของเรา
แน่นอนว่าเมื่อได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งใน Influencer คนสำคัญของวงการแม่และเด็กแล้ว คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีแบรน์หรือเอเจนซี่เข้ามาติดต่อเพื่อทำงานด้านการตลาดให้ ซึ่งสิ่งนี้แม่แอร์ยืนยันว่าให้ความสำคัญเรื่องของความน่าเชื่อถือของตัวสินค้าอย่างมาก แม่แอร์ กล่าวว่า โดยปกติสินค้าที่เข้ามาก็ส่วนใหญ่เป็นแบรนด์สินค้าที่น่าเชื่อถือ เป็นผลิตภัณฑ์แม่และเด็กอยู่แล้ว ส่วนบางแบรนด์ที่อาจจะยังไม่ติดตลาดนักแต่เราอาจจะสนิทกันเราก็สามารถโพสต์ให้ได้ ไม่ใช่ว่าปฏิเสธ
“จะปฏิเสธก็พวกประเภทยาลดความอ้วนด่วนๆ ให้คุณแม่ อย่างนี้แอร์จะปฏิเสธเลย ซึ่งก็มีติดต่อเข้ามาเยอะมากทีเดียว เพราะคิดว่าไม่เหมาะกับเรา และอีกอย่างตัวเราเองก็ไม่สนับสนุนความคิดนี้อยู่แล้ว ดังนั้น ของที่เข้ามาส่วนใหญ่ก็จะคัดแบรนด์ที่น่าเชื่อถือ”
ส่วนเรื่องไทมไลน์ก็สำคัญเช่นกัน ตรงนี้เราก็จะพยายามแจ้งกับแบรนด์หรือเอเจนซี่ที่เข้ามาว่า เราสามารถทำให้ได้ในช่วงเวลาเท่านี้ๆ นะ เพราะเราก็เป็นแม่ฟูลไทม์ดังนั้นเวลาที่มีก็คือตอนกลางคืนที่ลูกนอน หรือช่วงเวลาว่างจริงๆ ถึงจะมานั่งเขียนบล็อก ดังนั้น ถ้าลูกค้าเร่งมากๆ ก็อาจจะไม่สะดวก
จากวันแรกที่ทำบล็อกถึงวันนี้คิดว่าเราได้ทำเต็มที่แล้วหรือยัง
แม่แอร์ บอกว่า จริงๆ มีอะไรที่อยากจะทำเยอะมาก ถามว่าเต็มที่ไหมก็คิดว่ายังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ เรายังอยากจะทำอะไรอีกเยอะแยะ ด้วยความที่แอร์ทำคนเดียวทั้งหมด ทั้งเขียนเอง ตัดต่อเอง ทำกราฟฟิคเอง วางบิลเปิดบิล แต่งรูป เหลือแต่ถ่ายรูปเพราะให้สามีถ่าย ไหนจะเลี้ยงลูกอีกทำให้ไม่ค่อยมีเวลาได้ทำอะไรที่อยากจะทำนัก
แต่ล่าสุด ตัวเองก็พยายามหาเวลาที่มีน้อยนี้ไปทำตามความฝันตามความตั้งใจของตัวเองให้ได้นั่นคือการทำหนังสือสำหรับเด็ก “เริ่มหัดเขียน” เป็นหนังสือฝึกเขียนลบได้สำหรับเด็กวัย 3 ปีขึ้นไป มีตั้งแต่หนังสือ ABC และ ก-ฮ เรียกได้ว่าเป็นความตั้งใจส่วนตัวที่อยากทำตรงนี้ให้สำเร็จ
คำแนะนำสำหรับคนที่คิดว่ามีแม่แอร์เป็นแรงบันดาลใจและอยากจะเขียนบล็อกบ้าง
แม่แอร์ให้คำแนะนำว่า ก่อนอื่นเลยเราจะต้องแน่ใจในตัวเองก่อนว่าเป็นคนที่ชอบที่จะเขียนจริงๆ คุณพ่อคุณแม่บางคนอาจจะแอ็คทีฟหรือมีแพสชั่นในช่วงแรกๆ แต่ว่าการเขียนบล็อกแพสชั่นมันหยุดไม่ได้ และในโลกออนไลน์สื่อที่เกี่ยวกับแม่และเด็กมันมีเยอะมากมาย ดังนั้น สิ่งแรกเลยที่ต้องทำคือต้องหาตัวเองให้เจอ บางคนก็จะอาจจะชอบเรื่องเที่ยว แต่ของแอร์เองก็จะเน้นเรื่องการให้ความรู้จากประสบการณ์จริง จากแม่สู่แม่ และจากแม่สู่คุณแม่มือใหม่ เป็นการเขียนจากประสบการณ์จริงและหาความรู้ด้วยตัวเอง
“หาจุดเด่นของตัวเอง มีแพสชั่นไม่ตก ต้องขยัน เพราะถ้าไม่ขยันคุณตาย” แม่แอร์ย้ำในตอนท้าย
คงพอจะเห็นแล้วว่าการเป็นบล็อกเกอร์อาจเป็นเรื่องง่าย แต่การเป็นบล็อกเกอร์ที่เป็นตัวจริงนั้นยากกว่า นอกจากคุณจะต้องมีแพสชั่นแล้ว คุณจะต้องขยัน แสวงหาความรู้อยู่เสมอ และที่สำคัญที่สุดคือจะต้องมีสำนึกรับผิดชอบต่อสังคมด้วย ซึ่งจุดนี้เราได้เห็นจากบล็อกเกอร์คุณแม่ยังสวยคนนี้แล้ว “แม่แอร์” แห่ง TheLovelyAir.com.
Copyright © MarketingOops.com