ผลสำรวจ Global CEO Study โดยสถาบันการศึกษาคุณค่าทางธุรกิจของไอบีเอ็ม (IBV) ปีนี้ ระบุว่าเป็นครั้งแรกที่ CEO ทั่วโลกมองประเด็นความยั่งยืนเป็นความท้าทายสูงสุด โดยมองว่าจะมีผลกระทบต่อองค์กรสูงสุดใน 3-5 ปีข้างหน้า และจะเป็นความท้าทายสูงสุดขององค์กร นำหน้าความกังวลด้านกฏระเบียบข้อบังคับ ภัยไซเบอร์ ความพร้อมด้านเทคโนโลยี หรือแม้แต่ปัญหาการหยุดชะงักของซัพพลายเชน
ธุรกิจที่สามารถชนะใจผู้บริโภคในโลกยุคใหม่ จึงต้องไม่มุ่งแต่แสวงหากำไรเพื่อประโยชน์สูงสุดของบริษัทเพียงอย่างเดียว แต่ต้องคำนึงถึงสังคม สิ่งแวดล้อม และโลก เพื่อสนับสนุนให้เกิดความยั่งยืนระยะยาว ดังนั้น การตั้งเป้าหมายสร้างธุรกิจที่ยั่งยืน หรือ Sustainable Business ซึ่งเป็นการดำเนินธุรกิจที่โอบอุ้มสังคมและสิ่งแวดล้อมให้เติบโตไปพร้อมกันกับองค์กร โดยการดูแลตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ นอกจากจะเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ชนะใจผู้บริโภคในปัจจุบันได้แล้ว ยังเป็นเครื่องมือในการทำให้ธุรกิจมีความมั่นคงในระยะยาวอีกด้วย
และหากเอ่ยถึงองค์กรที่เป็นผู้นำด้านนวัตกรรมเครื่องจักรกลการเกษตรและอยู่เคียงข้างเกษตรกรไทยมาอย่างยาวนาน ‘สยามคูโบต้า’ นับว่าเป็นแบรนด์แรกที่เรานึกถึง ที่ผ่านมาบริษัทสยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด ดำเนินธุรกิจโดยให้ความสำคัญและมุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมเครื่องจักรกลการเกษตรในรูปแบบต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการการใช้งานของเกษตรกรในการเพิ่มผลผลิตให้ได้เต็มประสิทธิภาพ พร้อมกับการนำองค์ความรู้ ประสบการณ์ และเทคโนโลยีที่ทันสมัย มาสนับสนุนเกษตรกร และยกระดับแบรนด์สู่การเป็น ‘นวัตกรรมเกษตรเพื่ออนาคต’
ที่สำคัญคือ การยึดแนวทางของ Sustainable Business เน้นการทำงานที่เกิดประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ผ่านการนำเทคโนโลยี AI (Planning Analytics) มาใช้ วันนี้เราได้โอกาสจาก คุณวราภรณ์ โอสถาพันธุ์ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท สยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด มาเล่าถึงมุมมองการทำงานบนวิสัยทัศน์ Sustainable Business ในปัจจุบันให้ฟัง
สยามคูโบต้า กับความท้าทายของการสร้าง “นวัตกรรมการเกษตรเพื่ออนาคต”
คุณวราภรณ์ ได้เล่าถึงเทคโนโลยีด้านการเกษตร ที่ สยามคูโบต้าว่าปัจจุบันมีการนำองค์ความรู้ด้านนวัตกรรมการเกษตรต่างๆ รวมถึงประสบการณ์ด้านการเกษตร ไปใช้ช่วยเหลือเกษตรกรในเรื่องของการเพาะปลูก ทำให้เกษตรกรสามารถที่จะนำความรู้ตรงนี้ รวมถึงเครื่องจักรมาพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นได้ โดยเน้น “นวัตกรรมการเกษตรเพื่ออนาคต” เพราะเราเชื่อว่าการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้จะสามารถช่วยให้การเกษตรมีการพัฒนาได้อย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ หากพูดถึงความท้าทายหรืออุปสรรคสำคัญในภาคการเกษตรก็คือปัญหาเรื่องน้ำ เพราะว่าพื้นที่ที่ทำการเกษตรของประเทศไทยมีแค่ 26% เท่านั้นที่สามารถเข้าถึงระบบชลประทานได้ นอกจากนี้ยังมีปัญหาอื่นๆ อีก เช่น ภัยธรรมชาติ น้ำท่วม การระบาดของแมลงต่างๆ หรือแม้แต่สถานการณ์โควิด เหล่านี้ล้วนมีผลต่อภาคการเกษตรเช่นเดียวกัน เพราะทำให้เรื่องของดีมานด์และซัพพลายเกิดความไม่สมดุลกัน ประกอบกับภาคการเกษตรเองก็มีกลุ่มคนผู้สูงอายุอยู่ค่อนข้างมาก ดังนั้น ทุกอย่างตรงนี้มันก็เป็นปัญหาแล้วก็เป็นความท้าทายในเรื่องของภาคการเกษตร
เพื่อที่จะเอาชนะความท้าทายต่างๆ เหล่านี้ สยามคูโบต้าจึงทำ “ฟาร์มต้นแบบ” ขึ้นมา เพื่อให้เกษตรกรและคนทั่วไปได้เห็นว่า การนำเอาเทคโนโลยีและนวัตกรรมการเกษตรใหม่ๆ มาช่วยในการเพาะปลูก สามารถช่วยเพิ่มผลผลิตได้จริงๆ ช่วยลดต้นทุน ช่วยประหยัดเวลา ที่สำคัญยังเป็นการดูแลสิ่งแวดล้อมและพัฒนาภาคการเกษตรได้อย่างยั่งยืน
3 แนวคิดหลักเพื่อผลักดันการทำธุรกิจและการเกษตรอย่างยั่งยืน
สำหรับในเรื่องของการสนับสนุน การทำธุรกิจอย่างยั่งยืน (Sustainable Business) โดยเฉพาะในมุมการเกษตร คุณวราภรณ์ เล่าว่าสยามคูโบต้ามีองค์ความรู้ด้านการเกษตรของบริษัทเอง และมุ่งมั่นที่จะพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ เครื่องจักรกลการเกษตรก่อนที่จะถ่ายทอดสิ่งนี้ไปสู่เกษตรกร ซึ่งมีหลักๆ ด้วยกัน 3 แนวทาง
อย่างแรก การเรียนรู้เรื่องการเกษตร เช่น พืชแต่ละชนิดแต่ละสายพันธุ์มีการเพาะปลูกอย่างไร แล้วก็นำสิ่งต่างๆ เหล่านั้นเข้ามาใช้ในการพัฒนาเครื่องจักร เพื่อที่เกษตรกรจะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้สูงสุด
อย่างที่สอง คือการถ่ายทอดความรู้ และ Know how ต่างๆ ให้กับเกษตรกร เมื่อเกษตรกรได้รับความรู้ต่างๆ ก็จะสามารถนำไปใช้ขยายผลต่อได้ ที่สำคัญคือทำอย่างไรให้กลุ่มคนรุ่นใหม่นำองค์ความรู้ต่างๆ ไปต่อยอดในเรื่องของการเกษตรต่อไปได้
สุดท้าย คือการนำเรื่องทั้งหมดของภาคการเกษตร ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ตั้งแต่การเพาะปลูก การเก็บเกี่ยว ไปจนถึงการขาย ความรู้ทั้งทางด้านการเงิน การลงทุนหรือว่าผลตอบแทบต่างๆ ให้เกษตรกรได้เข้าใจเช่นกัน รวมถึงในเรื่องช่องทางการจัดจำหน่ายด้วย เพราะว่าผลิตอย่างเดียวไม่ได้ก็ต้องมีตลาดด้วย ต้องมีหนทางในการที่จะสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรด้วย
“เพราะเราเชื่อว่าการที่เกษตรกรมีการวางแผนงานที่ดี มีการทำการเกษตรที่ดี สุดท้ายมันก็จะช่วยในเรื่องของรายได้ของเขา ทำให้เขาเติบโตได้อย่างยั่งยืน ทั้งสามแนวทางนี้ เรามองว่าเป็น end to end เพื่อสนับสนุนเกษตรกรให้เติบโตอย่างยั่งยืนและมั่นคง”
เทคโนโลยี AI คำตอบที่ใช่ของการขับเคลื่อน Sustainable Business
นอกเหนือจากนวัตกรรมทางการเกษตรแล้ว สยามคูโบต้ายังได้นำเทคโนโลยี AI (Planning Analytics) มาใช้ในการจัดการบริหารงานหลังบ้านด้วย ซึ่งคุณวราภรณ์เล่าว่าช่วยให้ประสิทธิภาพการทำงานดีขึ้นอย่างมาก และสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ขององค์กรในการสร้างความยั่งยืนทางธุรกิจอยู่แล้วด้วย
สยามคูโบต้ามีความมุ่งมั่นในเรื่องของการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาใช้ในการทำงานมาตลอด ดังนั้น การนำระบบ AI มาใช้ในการประมวลผลข้อมูลก็ถือว่าสอดคล้องกับภาพรวมความตั้งใจของบริษัท เพราะเชื่อว่าการมีระบบการทำงานที่ดี มีฐานในเรื่องของบัญชีและฐานการเงินที่ดี ก็จะช่วยในเรื่องของประสิทธิภาพในการทำงานดีด้วย รวมถึงข้อมูลที่ออกมา ก็มีความน่าเชื่อถือ มีความแม่นยำ ที่จะสามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจในการดำเนินแผนธุรกิจได้ต่อไป
การใช้ AI ทำให้สยามคูโบต้ามีข้อมูลต่างๆ เห็นมุมมองทั้งในเรื่องของการเงิน เรื่องของธุรกิจ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สำคัญต่อการวางแผน ทำให้รู้ว่าเกษตรกรแต่ละพื้นที่มีปัญหาอย่างไร แล้วจะตอบโจทย์ต่างๆ เหล่านี้ได้อย่างไร ถือว่าเป็นความท้าทายที่ต้องนำเอาข้อมูลมาประยุกต์ใช้ ซึ่งการทำงานลักษณะนี้เป็นไปในทิศทางที่สนับสนุนแผนพัฒนาธุรกิจของสยามคูโบต้าด้วย
ระบบนี้ผนวกข้อมูลกว่า 70 แหล่งจากทุกส่วนงานเพื่อการวางแผน ช่วยให้บริษัทประเมินสถานการณ์ต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน เรื่องพลังงาน หรือราคาวัตถุดิบ ทำให้สามารถวางแผนธุรกิจได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ที่สำคัญข้อมูลแม่นยำน่าเชื่อถือได้ยิ่งขึ้นด้วย โดยโครงการดังกล่าวได้ไอบีเอ็ม เอมายด์ และ คอมพิวเตอร์ ยูเนียน ร่วมกันพัฒนาระบบให้กับสยามคูโบต้า
“สำหรับประสิทธิภาพการทำงานที่ออกมา ทำให้ทีมงานใช้เวลาในการทำงานสั้นลง เสร็จงานได้รวดเร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพ อย่างเช่น ในการทำงบประมาณประจำปีปกติเราใช้ระยะเวลาประมาณ 2 สัปดาห์ ตอนนี้การประมวลผลของระบบวางแผนเร็วขึ้น 80% ประหยัดเวลาที่ใช้ในการคาดการณ์ลงได้ถึง 90% ใช้เวลาแค่ไม่ถึงวันก็ทำงบประจำปีเสร็จ”
ความมุ่งมั่นของการเป็น The Most Trusted Brand ระดับโลก
ในตอนท้าย คุณวราภรณ์ ยังได้ย้ำถึงทิศทางในอนาคตของสยามคูโบต้าในฐานะองค์กรแห่งความยั่งยืน ว่าสถานการณ์โลกในปัจจุบัน กำลังจะมีปัญหาเรื่องการขาดแคลนทรัพยากรโลก สยามคูโบต้ามองว่าเรื่องของภาคการเกษตร จะช่วยให้สามารถผลิตอาหารเพิ่มขึ้นได้ และจะเป็นเรื่องที่มีความสำคัญเป็นลำดับต้นๆ ต่อไปอย่างแน่นอน โดยภาคการเกษตร จะเป็นตัวจักรสำคัญที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยและโลกด้วย
“ดังนั้น ความมุ่งมั่นในการพัฒนา การวางกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพ และการสร้างประสบการณ์อันมีค่าต่างๆ เหล่านี้ ได้ถ่ายทอดสู่เกษตรกรไทยอย่างต่อเนื่อง สยามคูโบต้าจึงเชื่อมั่นว่า จะสามารถช่วยสร้างเศรษฐกิจการเกษตรให้มีความมั่นคง แข็งแรง และมีความยั่งยืน พร้อมเป็น The Most Trusted Brand ของเกษตรกรไทยต่อไป”