นับวันทั่วโลกจะมีความแตกต่าง และหลากหลายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นด้านโครงสร้างประชากรตามรายงาน World Population Prospects 2022 โดย United Nations (UN) คาดการณ์ว่าในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2022 ประชากรโลกจะมี 8,000 ล้านคน
ในจำนวนประชากรโลกทั้งหมด ปัจจุบันประกอบด้วยคน 6 ช่วงวัยคือ Silent Generation (คนที่เกิดปี 1928 – 1945) เกิดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2, Baby Boomers คนที่เกิดปี 1946 – 1964, Gen X คนที่เกิดปี 1965 – 1980, Gen Y หรือ Gen Millennials คนที่เกิดปี 1981 – 1996, Gen Z คนที่เกิด 1997 – 2009 และ Gen Alpha คนที่เกิดปี 2010 เป็นต้นไป
ไม่เพียงแต่ด้านโครงสร้างประชากรและช่วงวัยเท่านั้น ยังรวมถึงความแตกต่าง – ความหลากหลายในด้านอื่นๆ อีกมากมาย เช่น เชื้อชาติ, ชาติพันธุ์, ศาสนา, วัฒนธรรม, ภาษา, เพศสภาพ (Gender) อัตลักษณ์ทางเพศ (Gender Identity) และเพศวิถี (Sexual Orientation) นี่จึงยิ่งทำให้ Key Word 3 คำ “Diversity – Inclusion – Equality” มีความหมาย และทวีความสำคัญมากขึ้นกับทุกภาคส่วนของสังคม ตั้งแต่ระดับประเทศ ตลอดจนภาคธุรกิจ
หนึ่งในองค์กรเอกชนที่โอบรับความแตกต่างและหลากหลายคือ “โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์” ตลอดระยะเวลากว่า 4 ทศวรรษของการให้บริการด้านสุขภาพและการดูแลรักษา ยึดหลักปรัชญาเคารพในความแตกต่างทั้งด้านเชื้อชาติ ภาษา ศาสนา วัฒนธรรม เพศสภาพ อัตลักษณ์ทางเพศ และเพศวิถี
เพื่อตอกย้ำหลักปรัชญาเคารพในความแตกต่าง – หลากหลาย และสร้างโอกาสทางธุรกิจที่มากขึ้น โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จึงได้เปิดให้บริการ “Pride Clinic” ส่งมอบการดูแลสุขภาพในระยะยาวแบบ“Life-time Value” ให้กับกลุ่ม LGBTQ+ ด้วยความเชื่อว่าที่ว่า “คนทุกคนสามารถบรรลุศักยภาพของตัวเองได้อย่างเต็มที่ หากได้เป็นตัวของตัวเองในแบบฉบับที่ดีที่สุด” (Be the best version of yourself)
“LGBTQ+” พลังซื้อมหาศาล! สร้างมูลค่าการใช้จ่ายกว่า 3.9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
ข้อมูลจาก LGBT Capital เคยคาดการณ์ว่า “ประชากรกลุ่มความหลากหลายทางเพศ”หรือ “LGBTQ+” ทั่วโลกมีมากกว่า 480 ล้านคน ในจำนวนนี้อยู่ในเอเชียกว่า 280 ล้านคน และในไทยประมาณ 4 ล้านคน ซึ่งผู้บริโภคกลุ่มที่มีความหลากหลายทางเพศทั่วโลก สร้างมูลค่าการใช้จ่าย 3.9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ดังนั้นในเชิงการตลาด ผู้บริโภค “LGBTQ+” ถือเป็นกลุ่มที่มี Purchasing Power และมีศักยภาพสูง
อย่างปัจจุบันมีคำนิยามคู่ชีวิต หรือคู่รักที่ใช้ชีวิตอยู่บ้านเดียวกัน มีรายได้ทั้งคู่ และไม่มีบุตรว่า “Dual Income, No Kids” (DINK) เช่น คู่แต่งงานใหม่, คู่แต่งงานที่ไม่มีบุตร, คู่ชีวิตที่อยู่ด้วยกันมานาน จนลูกโตและแยกย้ายออกไปมีครอบครัวของตัวเอง รวมถึงคู่รัก หรือคู่ชีวิต LGBTQ+
การไม่มีลูก ทำให้รายได้ที่มาจากคนทั้งคู่ สามารถนำไปเก็บออม – ลงทุนต่างๆ เพื่อให้เงินงอกเงย และใช้จ่ายได้อย่างคล่องตัว และเต็มที่ ทั้งค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน การใช้จ่ายเพื่อซื้อความสะดวกสบายที่มากขึ้น ใช้จ่ายในเรื่องส่วนตัวตามความชอบ-ความสนใจ รวมทั้งใช้จ่ายเพื่อพักผ่อนท่องเที่ยว
นี่จึงทำให้ผู้บริโภคกลุ่ม LGBTQ+ หนึ่งในเซ็กเมนต์ของ “Dual Income, No Kids” (DINK) เป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญของแบรนด์ นักการตลาด และนักโฆษณาในการพัฒนาสินค้า หรือบริการ และสื่อสารเข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มนี้โดยเฉพาะ
ทำความรู้จัก “Pride Clinic” และการดูแลรักษาแบบ “Life-time Value”
เมื่อปีที่แล้ว “โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์” ได้เปิดให้บริการ “Pride Clinic” เพื่อให้กลุ่มที่มีความหลากหลายทางเพศ เข้าถึงการบริบาลทางการแพทย์ที่ครอบคลุมทุกมิติแบบ Holistic Integrated & Personalized Care ทั้งปรับเปลี่ยนลักษณะทางกายภาพตามเป้าหมายและความต้องการของผู้ใช้บริการแต่ละบุคคล และการดูแลสุขภาพในระยะยาวแบบ “Life-time Value”
คุณนภัส เปาโรหิตย์ Chief Marketing Officer โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เล่าที่มาและแนวคิดของการเปิด Pride Clinic ว่า ด้วยปรัชญาโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์เปิดกว้างในการให้บริบาลทางการแพทย์ โดยไม่ได้เลือกเชื้อชาติ ศาสนา ภาษา วัฒนธรรม ลักษณะทางกายภาพ เพศสภาพ เพศวิถี เป็นปรัชญาของโรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ก่อตั้ง ซึ่งเหมือนกับสถานพยาบาลทั่วไปที่ไม่เลือกปฏิบัติในการรักษาพยาบาล โดยกลุ่มหลักของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์คือ เซ็กเมนต์ “High-Net-Worth Patient” เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อ และยินดีจ่ายเพื่อการบริบาลที่มีคุณภาพมาตรฐานสากล มีความเป็นส่วนตัว และมีความปลอดภัย นอกจากนี้ บริการของโรงพยาบาลเอกชนยังเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระด้านสาธารณสุขจากภาครัฐอีกด้วย
ปัจจุบันโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์มีผู้ป่วยที่ไว้วางใจเข้ารับการบริบาลทางการแพทย์จากกว่า 190 ประเทศทั่วโลก จึงมีความหลากหลาย และแตกต่างด้านวัฒนธรรม เชื้อชาติ ภาษา ความเชื่อทางศาสนา ฯลฯ เพราะฉะนั้นหนึ่งใน DNA ของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์คือ การปลูกฝังพนักงานให้มี Service Cultural และจิตใจเอื้ออาทรต่อผู้ป่วยที่มีความแตกต่างหลากหลาย
“โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์มี DNA โอบรับในความความแตกต่างหลากหลายอยู่แล้ว ขณะเดียวกันความหลากหลายทางเพศเป็น Issue หนึ่งในสังคม เราจึงเล็งเห็นความสำคัญของการริเริ่มพัฒนา “Pride Clinic” เป็นคลินิกเฉพาะสำหรับผู้มีความหลากหลายทางเพศ
โดยใช้ความแข็งแกร่งที่เรามี คือ ส่งมอบการบริบาลที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน มีความปลอดภัย และออกแบบบริการให้มีความครบวงจรทุกด้าน เพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้บริการได้ครอบคลุม และสามารถดูแลต่อเนื่องระยะยาวแบบ Life-time Value”
เหตุผลที่ “Pride Clinic โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์” ให้การบริบาลแบบครบวงจร และเป็น Life-time Value มาจากการศึกษา Consumer Insights พบว่าบุคคลมีความหลากหลายทางเพศแต่ละคนมีเป้าหมายของตัวเอง (Individual Goal) ที่แตกต่างกัน เช่น บางคนอยากให้มีความผู้ชายในร่างกายสักนิดหนึ่ง ขณะที่บางคนอยากเติมความละมุน หรือความ Feminine ให้ตัวเองบ้าง ส่วนบางคนต้องการปรับเพศสภาพสภาพไปเลย
เพราะฉะนั้นการพัฒนา “Pride Clinic” จึงต้องเริ่มจากความเข้าใจ Insights และความต้องการของกลุ่ม LGBTQ+ อย่างแท้จริง บวกกับอยู่บนหลักการแพทย์ที่ถูกต้อง ซึ่งโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ มีอาจารย์แพทย์ที่ทำการศึกษาและชำนาญด้านนี้โดยเฉพาะ คือ “นพ. เบญทวิช สุรศาสตร์พิศาล” เป็นผู้ต่อยอดบริการที่มีมาในอดีต ด้วยการออกแบบคอนเซ็ปต์ Pride Clinic เพื่อให้เกิดการบริบาลแก่กลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศอย่างปลอดภัย ครบวงจร และต่อเนื่องระยะยาวให้ตอบสนองต่อความต้องการของกลุ่มผู้มารับบริการในปัจจุบัน
พร้อมด้วยทีมแพทย์ และบุคลากรทางการแพทย์ผู้ชำนาญการ ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ด้านฮอร์โมนบำบัด, ศัลยแพทย์, วิสัญญีแพทย์ หรือแพทย์ดมยา ที่จะช่วยให้ผู้เข้ารับการบริบาลไม่เจ็บปวดมากในกระบวนการผ่าตัด, พยาบาลตำแหน่ง Nurse Navigator ที่ให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิดและนำทางคนไข้ไปสู่กระบวนการดูแลรักษาทุกขั้นตอนได้อย่างราบรื่น, นักกายภาพบำบัด ที่ดูแลการออกกำลังกายการฟื้นฟูร่างกายหลังการผ่าตัด, นักโภชนาการ ดูแลคุณภาพสารอาหารให้กับคนไข้
รวมทั้งเจ้าหน้าที่บริหารจัดการภาพรวม Pride Clinic เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีและความพึงพอใจให้กับผู้ใช้บริการ และพนักงาน ได้รับการฝึกอบรมให้เข้าใจในคุณลักษณะของ LGBTQ+ การให้บริการ และวิธีการพูดคุยสื่อสารกับผู้มาใช้บริการ
ประกอบกับศักยภาพของห้องผ่าตัดที่ได้มาตรฐานและความปลอดภัยขั้นสูงสุด และ Lab ที่มีมาตรฐานระดับสากล สำหรับตรวจวิเคราะห์ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ รวมทั้งการผนึกกำลัง Synergy กับศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ บริษัทในเครือโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ที่มุ่งช่วยเสริมสุขภาพและเวชศาสตร์ชะลอวัย เพื่อให้บริการด้านสุขภาพเชิงป้องกันแบบครบวงจร
จากความพร้อมของทีมแพทย์ – บุคลากรทางการแพทย์ ห้องผ่าตัด อุปกรณ์ทางการแพทย์ทันสมัย และการผนึกกำลังกับบริการในเครือฯ เพื่อให้การบริบาลทางการแพทย์และการดูแลสุขภาพครบองค์รวมแบบ Life-time Value ที่ครอบคลุมตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน จนถึงบริการทางแพทย์ขั้นสูง เช่น
– การบำบัดด้วยฮอร์โมนทดแทน ทั้งฮอร์โมนเพื่อความเป็นหญิง และฮอร์โมนเพื่อความเป็นชาย
– ศัลยกรรมปรับลักษณะทางกายภาพ เช่น ศัลยกรรมใบหน้า, การฝึกพูดเพื่อเปลี่ยนเสียงเป็นเพศหญิง-เพศชาย และการผ่าตัดกล่องเสียง, เสริมหน้าอก – ตัดหน้าอก
– การผ่าตัดปรับเพศสภาพ
– การบำรุงรักษาผิวพรรณ ความงาม และรูปร่าง เพื่อฟื้นฟูสุขภาพจากภายในสู่ภายนอก
– การดูแลสุขภาพจิต
– โปรแกรมตรวจติดตามสุขภาพหลังผ่าตัดปรับเพศสภาพ
– โปรแกรมตรวจสุขภาพเฉพาะของกลุ่มผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ
– การดูแลด้าน Sexual Health
“การให้บริการกลุ่ม LGBTQ+ ไม่ได้มีแค่การผ่าตัดปรับเพศสภาพ แต่มีความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงตั้งแต่ต้นจนจบ เพราะฉะนั้นบริการของ Pride Clinic ต้องเริ่มต้นจากความเข้าใจในความแตกต่างหลากหลายก่อน เพื่อให้การบริบาลที่ครบวงจร และดูแลต่อเนื่องระยะยาวเป็น Life-time Value ที่เป็นการดูแลใส่ใจกันตลอดชีวิต
อย่างการรับฮอร์โมน ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ และต้องรับอย่างต่อเนื่อง หรือบางคนอยากปรับแต่งรูปร่างหน้าตาตัวเอง เพื่อให้มีความมั่นใจขึ้น เรามีศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ มาช่วยเสริมการปรับแต่งหน้าตา เช่น เติมฟิลเลอร์, ฉีดโบท็อกซ์ หรือเติมเค้าโครงบางอย่าง ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้ชำนาญการ
สำหรับคนที่อยากปรับเพศสภาพ หรือข้ามเพศ ก็มีบริการผ่าตัดปรับเพศสภาพ โดยศัลยแพทย์ที่มีชื่อเสียง ทำได้ตั้งแต่ Top Surgery ไปจนถึงทั้งตัว ซึ่งศัลยแพทย์จะทำงานร่วมกันวิสัญญีแพทย์ เพื่อจัดการความเจ็บปวด หรือ Pain Management และป้องกันความเสี่ยงต่างๆ ให้กับคนไข้ ตลอดจนห้องผ่าตัดที่มีมาตรฐาน สะอาด และปลอดภัย
กระทั่งเสร็จสิ้นกระบวนการผ่าตัด จะมีพยาบาล นักกายภาพบำบัด และนักโภชนาการคอยดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ความช่วยเหลือ และคำแนะนำต่างๆ เช่น หลังผ่าตัด คนไข้สามารถออกกำลังกายส่วนไหนได้ – ส่วนไหนไม่ได้, ด้านอาหารที่ช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูเร็ว เช่น อาหาร Super Food”
นอกจากนี้การดูแลระยะยาวแบบ Life-time Value ไม่ได้จบแค่กระบวนการหลังการผ่าตัดเสร็จสิ้น แต่ยังรวมถึงการให้คำแนะนำด้าน “Sexual Health” ด้วยเช่นกัน
“อีกการบริบาลที่สำคัญของ Pride Clinic คือ “Sexual Health” การดูแลสุขภาพเพศ เหมือนกับเพศชาย-หญิงทั่วไป ซึ่งการดูแลในที่นี้ ครอบคลุมทั้งให้คำแนะนำการมีเพศสัมพันธ์ที่ถูกวิธี ความปลอดภัย และการป้องกันไม่ให้เกิดโรคจากเพศสัมพันธ์ ไปจนถึงการดูแลรักษา
ในทุกกระบวนการของ Pride Clinic ยึดถือตามหลักปฏิบัติโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ที่มีการเก็บรักษาความลับของผู้เข้ารับบริการ และมีความเป็นส่วนตัว เพราะบางคนไม่ได้อยากเปิดเผย หรือแสดงตัว ซึ่งเป็นสิทธิของผู้รับบริการโดยชอบธรรม เพราะฉะนั้นมั่นใจได้ว่าที่นี่เราใส่ใจในความเป็นส่วนตัว การเก็บรักษาความลับ และมีความปลอดภัยสูงสุด” คุณนภัส ขยายความเพิ่มเติม
จะเห็นได้ว่าจากจุดเด่นของ “Pride Clinic” ที่ให้บริบาลทางการแพทย์แบบ Life-time Value นั้น ไม่เพียงแต่ตอบโจทย์ผู้รับบริการมั่นใจได้ว่าจะมีทีมแพทย์ และบุคลากรให้การดูแลอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันยังทำให้โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ สร้างฐาน Loyal Customer และนำไปสู่การแนะนำบริการอื่นๆ ของโรงพยาบาลด้วยเช่นกัน
“Pride Clinic” เสริมแกร่งโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ – ขยายฐานชาวต่างชาติ – เชื่อมต่อคนรุ่นใหม่
หลังจากเปิดให้บริการ “Pride Clinic” มาได้ 1 ปี และเมื่อไม่นานนี้ได้จัดงานอีเวนต์ฉลองครบรอบ ได้การตอบรับเป็นอย่างดีจากกลุ่มเป้าหมาย ทั้งคนไทย และชาวต่างประเทศ รวมทั้งใช้ Influencer Marketing เป็นผู้ใช้บริการจริง มาเป็นกระบอกเสียงสื่อสารไปยังกลุ่ม LGBTQ+ ทำให้แบรนด์เป็นที่รับรู้มากขึ้น และมี Case เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
“ผู้ใช้บริการ Pride Clinic มีทั้งกลุ่มคนไทย 50% และกลุ่มต่างชาติ 50% เราเชื่อว่า Pride Clinic จะเปิดโอกาสให้เราได้ให้บริการกลุ่มต่างชาติ ที่ก่อนหน้านี้อาจไม่เคยรู้จักโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์มาก่อน โดยเฉพาะในเอเชีย เช่น สิงคโปร์, ฮ่องกง, ไต้หวัน, จีน
อีกทั้งประเทศไทย ถือว่าเป็นประเทศที่ LGBTQ+ Friendly ยอมรับความแตกต่างหลากหลาย ถ้าดึงชาวต่างชาติเข้ามารับการบริบาล อยู่ในบรรยากาศที่เป็นมิตร ไม่มีการปิดกั้น หรือเลือกปฏิบัติ เชื่อว่า Pride Clinic จะเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยยกระดับ Medical Tourism ของประเทศไทย และช่วยเสริมแบรนด์โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นในตลาดต่างประเทศ”
เมื่อวิเคราะห์ถึงการปลุกปั้น “Pride Clinic” ถือเป็น Strategic Move ครั้งสำคัญของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เพราะไม่เพียงแต่ตอกย้ำแนวคิดเคารพในความแตกต่างหลากหลายแล้ว ยังเสริมความแข็งแกร่งให้กับโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ในหลายมิติคือ
– ทำให้โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เป็นที่รู้จักในตลาดต่างประเทศมากขึ้น เพื่อขยายฐานชาวต่างชาติ โดยเฉพาะตลาดเอเชีย เช่น จีน ซึ่งเป็น Strategic Market ที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ต้องการปักธง เพราะเป็นตลาดใหญ่ มีกำลังซื้อ และมีศักยภาพสูง
– ขยาย Business Portfolio ของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น
– สร้าง Brand Engagement ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ เพื่อนำพาแบรนด์โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์เข้าไปอยู่ในใจกลุ่ม Young Gen เพราะแม้กลุ่มคนรุ่นใหม่ไม่ได้เป็นกลุ่ม LGBTQ+ หรือไม่ได้ใช้บริการ Pride Clinic ก็ตาม แต่ทำให้คนรุ่นใหม่ หรือสังคมเห็นว่าโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์มีจุดยืนด้านการเปิดกว้างรับความแตกต่างหลากหลาย และลงมือทำจริง
สอดคล้องกับ Deloitte Insights รายงานผลสำรวจผู้บริโภค จำนวน 11,500 คนทั่วโลก อายุ 18 – 25 ปีพบว่า
– ผู้บริโภคคนรุ่นใหม่บอกว่า แบรนด์ที่สื่อสารผ่านโฆษณาด้วยแนวคิด Inclusive Advertising ทำให้พวกเขาตัดสินใจพิจารณาซื้อแบรนด์นั้นๆ
– 94% ของ Gen Z คาดหวังว่าบริษัทต่างๆ จะยืดหยัดในประเด็นทางสังคมอย่างชัดเจน
– 90% ของ Gen Z บอกว่าพวกเขายินดีจ่ายเงินซื้อสินค้า หรือบริการที่สร้างประโยชน์ต่อสังคม
สะท้อนให้เห็นว่าคนรุ่นใหม่พร้อมให้การสนับสนุนแบรนด์ที่มีจุดยืน และให้ความสำคัญกับ Social Issue เช่น สิ่งแวดล้อม, ความเท่าเทียม ดังนั้นแบรนด์ที่นำประเด็นทางสังคมเหล่านี้ ไปปฏิบัติจริง ด้วยการผนวกเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินธุรกิจ ย่อมมีโอกาสครองใจผู้บริโภคกลุ่มคนรุ่นใหม่
“การที่เราทำ Pride Clinic เป็นวิธีหนึ่งในการนำแบรนด์เข้าไปนั่งในหัวใจคนรุ่นใหม่ เพราะคนรุ่นใหม่ต่อให้ไม่ได้เป็น LGBTQ+ หรือไม่ได้ใช้บริการนี้ เขาจะมีความรู้สึกว่า เราเป็นโรงพยาบาลที่เปิดกว้าง เปิดรับต่อความแตกต่างหลากหลาย และกระตือรือร้นกับการปฏิบัติจริงในสิ่งที่เป็น Social Issue ในปัจจุบัน”
เดินหน้าสร้างการรับรู้ – ตั้งเป้าเป็น Top Choice ของกลุ่ม LGBTQ+
สำหรับก้าวต่อไปของ “Pride Clinic” ยังคงเดินหน้าสร้างแบรนด์ และการรับรู้ทั้งตลาดในประเทศ และต่างประเทศ โดยใช้ Influencer ที่เป็นผู้ใช้บริการจริงของ Pride Clinic มาสื่อสาร เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายโดยตรง และเตรียมต่อยอดสู่การพัฒนาบริการใหม่ของ Pride Clinic เพื่อเติมเต็มการดูแลสุขภาพแบบ Life-time Value ให้ครบวงจรยิ่งขึ้น
“เป้าหมายสูงสุดของ Pride Clinic เราอยากเป็น Top Choice และเข้าไปนั่งในใจของกลุ่ม LGBTQ+ ในเซ็กเมนต์ High-Net-Worth ทั้งในกลุ่มคนไทย และชาวต่างประเทศ
ทุกครั้งที่ผู้บริโภคกลุ่มนี้ต้องการเข้ารับการบริบาลทางการแพทย์ หรือด้านการดูแลสุขภาพครบวงจร อยากให้นึกถึง Pride Clinic และมาใช้บริการด้วยความมั่นใจ เพราะมีคุณภาพมาตรฐานระดับสากล มีความเป็นส่วนตัว รักษาความลับ มีความปลอดภัย และได้ผลลัพธ์เป็นที่พึงพอใจ” คุณนภัส สรุปทิ้งท้ายถึงเป้าหมายในอนาคต
“Pride Clinic” นับเป็นอีกก้าวสำคัญของวงการแพทย์ไทย และโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ที่จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งการเป็น “Medical Tourism” ของไทยในตลาดโลก ตลอดจนการแสดงถึงปรัชญาของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ที่เคารพในทุกความแตกต่างและหลากหลาย
Source: Deloitte Insights