ย้อนกลับไปช่วงการระบาดของโควิด-19 ระยะแรก นับเป็นช่วงเวลาที่ลำบากและหนักสำหรับทุกคนและทุกๆ ธุรกิจ ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวนั้นบทบาทหนึ่งที่โดดเด่นอย่างมากและปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยก้าวพ้นช่วงเวลาวิกฤตไปได้ก็คือ บุคลากรทางการแพทย์ไทยที่เข้มแข็งและเก่งกาจจนนำพาให้ประเทศฝ่าฟันพ้นวิกฤตจนเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาคนทั้งโลก แต่อย่างไรก็ตาม หากพูดถึงโรงพยาบาลในแง่ของการทำธุรกิจ ก็อาจเรียกได้ว่าเจ็บไม่แพ้กับธุรกิจอื่นๆ เช่นกัน เพราะในช่วงเวลานั้นนอกจากคนไม่กล้าเข้าโรงพยาบาลแล้ว คนยังมองภาพโรงพยาบาลเป็นสถานที่ไม่ปลอดภัยอีกด้วย อย่างไรก็ตาม หลังสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลายก็มีคลิปหนึ่งที่ได้รับการพูดถึงและส่งต่อกันเป็นจำนวนมาก ถึงความสามารถและความโอบอ้อมอารีของแพทย์ไทยที่มีต่อคนไข้ชาวต่างชาติ จนทำให้ความเข้าใจของคนไทยและชาวต่างชาติที่มีต่อโรงพยาบาลเปลี่ยนไป
คลิปดังกล่าวเป็นคลิปจากโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ในชื่อ Local Hero ซึ่งนำเสนอเรื่องราวที่กินใจ สะท้อนถึงความพยายามของทีมแพทย์ที่จะนำตัวคนไข้ชาวต่างชาติ ซึ่งถูกปฏิเสธการรักษาจากประเทศบ้านเกิด แต่ทีมแพทย์บำรุงราษฎร์ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค แต่มีความมุมานะตั้งมั่น จนในที่สุดก็สามารถนำตัวคนไข้มารักษาและดูแลจนอาการดีขึ้นเป็นลำดับ ซึ่งผลจากความพยายามนี้เอง ทำให้คนไข้ชาวต่างชาติคนนี้มองภาพประเทศไทยเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง คลิปดังกล่าวสร้างอยู่บนพื้นฐานเรื่องจริงและกลายเป็นคลิปที่อิมแพคสร้างมุมบวกให้กับวงการแพทย์ไทยและเมืองไทยให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาคนทั้งโลก
วันนี้เราจึงได้มาพูดคุยกับผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของหนังโฆษณาชิ้นนี้จาก นภัส เปาโรหิตย์ Chief Marketing Officer โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ที่จะมานั่งคุยถึงเบื้องหลังไอเดียการทำงานชิ้นนี้ ซึ่งทราบว่าเป็นผลงานที่ไม่ได้ผ่านการทำงานจากเอเจนซี่ แต่ครีเอทออกมาเอง รวมทั้งความท้าทายของการทำการตลาดในธุรกิจโรงพยาบาลในปัจจุบัน
บรีฟที่ตรงประเด็น สู่ความสำเร็จของคลิปไวรัล
นภัสเล่าว่า ผลงานชิ้นนี้เป็นงานที่บำรุงราษฎร์ทำงานร่วมกับทีมโปรดักชั่นโดยตรงเลย โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ อยากให้เรื่องราวของความสำเร็จของคนไทยและความเก่งของแพทย์ไทยในการรับมือกับวิกฤตโควิด-19 เป็นที่รับรู้ทั้งในสายตาชาวโลกและคนในประเทศ และเป็นเสมือนหนึ่งคำชื่นชมความร่วมไม้ร่วมมือของคนไทยทั้งชาติที่ร่วมกันฝ่าฟันวิกฤตในครั้งนี้ ดังนั้น เราจึงอยากให้เรื่องราวมันใหญ่ขึ้น ให้เป็นสเกลที่ใหญ่ขึ้น มากกว่าแค่บำรุงราษฎร์เราทำสำเร็จแต่มันคือความสำเร็จของคนไทยทั้งประเทศด้วย
ดังนั้น โจทย์ที่เราให้ไปก็คือ หนึ่ง เมื่อเปิดประเทศมาทำอย่างไรให้คนไข้ต่างชาติยังนึกถึงบำรุงราษฎร์ ทำให้เรายังอยู่ในหัวใจ เป็น top of mind แบรนด์อยู่ สอง คือความมุ่งมั่นตั้งใจของทีมแพทย์บำรุงราษฎร์ที่สามารถพลิกสถานการณ์ได้ นอกจากจะวางแผนอย่างดีในการนำตัวคนไข้มารักษาได้อย่างปลอดภัยในสถานการณ์ที่มีแต่ข้อจำกัด ทั้งๆ ที่ประเทศต้นทางยังปฏิเสธการรักษา และเหนือสิ่งอื่นใดก็คือ เราต้องการนำเสนอบทบาททางการแพทย์ของประเทศไทยให้โดดเด่นขึ้นมาด้วย
“เพราะที่ผ่านมาเวลาคนต่างชาตินึกถึงประเทศไทยมักจะนึกถึงแต่ วัด ทะเล อาหาร การท่องเที่ยว หรือคนไทยใจดี ซึ่งไม่ผิดอะไรเพราะว่าการท่องเที่ยวก็ได้ทำประโยชน์อะไรไว้เยอะแยะให้กับประเทศเรา แต่ว่าในอีกมุมหนึ่งที่เราอยากให้เขามองประเทศเราเปลี่ยนไปหรือว่าเพิ่มเติมขึ้นมา ก็คือเรื่องของความเชี่ยวชาญด้านการรักษาพยาบาลของแพทย์ไทย ซึ่งจะได้เพิ่มมูลค่าขึ้นมาอีกด้านหนึ่งด้วย”
นี่อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เราเห็นว่าบทพูดประโยคที่ว่า “นี่ไม่ใช่เมืองไทยในจินตนาการของผม เมืองไทยไม่ได้มีแค่ชายหาดสวยหรืออาหารอร่อย แต่คนไทยยังใจดีและมุ่งมั่นทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด โดยไม่กลัวอุปสรรคใดๆ” ซึ่ง นภัส ย้ำว่า เพียงแค่ประโยคนี้มันสามารถสะท้อนได้ถึงวัฒนธรรมของคนไทย และขณะเดียวกันมันยังเป็นวัฒนธรรมที่ไม่ยอมแพ้ต่ออะไรง่ายๆ ของบำรุงราษฎร์ด้วย
ประเด็นโควิด-19 ที่อ่อนไหว แต่ถ้าเล่นใหญ่ใจต้อง ‘กล้า’ เท่านั้น
เมื่อถามถึงการตัดสินใจนำประเด็นย้ายผู้ป่วยจากต่างประเทศเข้ามาในช่วงการแพร่ระบาดของโควิดเกิดความลังเลหรือไม่ นภัส ยอมรับว่า มี แต่เมื่อตัดสินใจว่าจะเล่นในเสกลที่ใหญ่มากกว่าสิ่งที่บำรุงราษฎร์ทำ แต่มันคือความสำเร็จของบุคลากรทางการแพทย์และความสำเร็จของคนไทย จึงตัดสินใจกล้าที่จะเล่นใหญ่ และที่สำคัญคือ เราต้องการขอบคุณทุกๆ คน ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ หรือแม้แต่คนไทยทุกคนผ่านหนังโฆษณาชิ้นนี้ ดังนั้นเราเลยตัดความกังวลนั้นทิ้งไป และที่สำคัญเลยคือ เราต้องการจะบอกว่าวงการแพทย์ไทยไม่ได้น้อยหน้าใคร ซึ่งชาวต่างชาติรับรู้แล้ว และเราอยากให้คนไทยได้ร่วมภูมิใจไปกับเราด้วย ดังนั้น เมื่อทุกคนได้ดูจนจบก็จะเข้าใจว่าสิ่งที่เราสื่อสารนั้นคืออะไร เพราะอะไร อย่างไรก็ตาม ได้มีติดตามดูฟีดแบ็คต่างๆ ผ่านคอมเมนต์ ก็พบว่าไม่มีคอมเมนต์ในเชิงลบกับเรื่องนี้เลย
Story ทัชหัวใจทุกคน จนยอดวิวสูงมากกว่า 1 ล้าน
ส่วนเหตุผลที่ทำให้โฆษณาชิ้นนี้ทัชใจคนดูได้สำเร็จ และทำให้ยอดวิวมากกว่า 1 ล้านวิวในระยะเวลาเพียงแค่ 1 เดือนเท่านั้น นภัส มองว่า นอกจากได้เกาะกระแสโควิด-19 ซึ่งเป็นปรากฏการณ์สำคัญที่มีผลไปทั่วโลกแล้ว อีกประเด็นก็คือการนำเสนอเรื่องราวของเมืองไทย ในมุมที่ไม่ค่อยมีใครได้พูดถึงนักหรือพูดถึงอย่างจริงจัง โดยเฉพาะเรื่องของความรับผิดชอบ ความพยายามอย่างที่สุดในการทำภารกิจให้สำเร็จ และแน่นอนเลยคือความสามารถทางการแพทย์ของประเทศไทย
นอกจากนี้ อีกประเด็นที่ทำให้เรื่องนี้มีอรรถรสและทำให้หนังโฆษณาชิ้นนี้กลมกล่อมขึ้นมากก็คือ เรื่องราวของความรักความผูกพันของคู่สามีภรรยาคู่นี้ที่ไม่ยอมแพ้กับโชคชะตา มันลึกซึ้งและกินใจ และมันเป็นเรื่องสากลที่สัมผัสใจทุกคนได้ รวมไปถึงการแคสติ้งนักแสดงทุกคนเล่นได้ดีมาก ทำให้เราเชื่อว่าคนนี้คือคนรักกันจริงๆ มันคือความสมจริงทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้น่าดูและคนดูก็ดูจนจบพร้อมกับความชื่นชมและขอบคุณทีมแพทย์ไทย
วัฒนธรรมความ ‘ไม่ยอมแพ้’ DNA ของคนบำรุงราษฎร์
อีกเรื่องราวที่ทำให้ผู้ชมประทับใจหนังโฆษณาชิ้นนี้ก็คือ การเอาชนะอุปสรรคของทีมแพทย์ที่จะรักษาคนไข้และจะนำตัวคนไข้มารักษาให้ได้ จุดนี้ คุณนภัส อธิบายถึงเบื้องหลังซีนดังกล่าวว่า เหตุผลที่สื่อสารเรื่องนี้ออกไป เพราะเรื่องของการดูแลผู้ป่วยมันสำคัญสำหรับเรามาก ซึ่งในหนังได้นำเสนอภาพการทำงานของแผนก Medical Transport ที่หน้าที่สำคัญอย่างหนึ่ง คือ ดูแลการขนย้ายผู้ป่วยต่างชาติ เป็นแผนกที่ปิดทองหลังพระมาตลอด แต่ต้องทำทุกอย่าง ทั้งการติดต่อประสานงานเรื่องเอกสารทุกอย่างตามระเบียบและการรับย้ายผู้ป่วยตามมาตรฐานสากล เพื่อให้ทุกอย่างราบรื่น และไร้รอยต่อที่สุด นอกจากนี้ คนบำรุงราษฎร์ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ฝังอยู่ใน DNA ก็คือการไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคอะไรง่ายๆ การไม่พอใจในสิ่งที่เป็นอยู่แม้ว่ามันจะดีแล้ว
“มันคือวัฒนธรรมของคนบำรุงราษฎร์ที่จะไม่เคยพอใจในอะไร แต่จะทำให้มันดีขึ้นไปอีกดีขึ้นไปเรื่อยๆยกตัวอย่างเรื่องราวง่ายๆ อย่างคนไข้บางคนจะต้องถูกบังคับให้ทานไข่ขาวทั้ง 3 มื้อ เพราะมันดีต่อตัวเขาและมันก็ยังอุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามิน บุคลากรของเราก็มานั่งคิดเมนูไข่ขาวสารพัดเพื่อให้เกิดความหลากหลาย ให้คนทานได้ไม่เบื่อ จนในที่สุดคนไข้ก็ยอมทาน นี่คือวัฒนธรรมองค์กรของเรา ที่เราไม่เคยพอใจ ไม่เคยยอมแพ้ต่ออะไร”
สร้าง Emotional ที่แตกต่าง เป็นได้มากกว่า Functional
ข้อสงสัยอย่างหนึ่งที่อดไม่ได้ที่จะถามคือ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์มีเทคโนโลยีด้านการแพทย์มากมาย เหตุใดไม่นำเสนอในแง่มุมนี้มากกว่า แต่เลือกที่จะนำเสนอด้าน Emotional นภัสให้ความกระจ่างว่า ถ้าเราทำเช่นนั้นเราก็คงไม่ต่างจากที่อื่นๆ เรื่องของเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่บำรุงราษฎร์ให้ความสำคัญก็จริง และเราก็มีเทคโนโลยีทันสมัยทางการแพทย์อยู่มาก บุคลากรของเราก็ชำนาญการในการใช้เครื่องมือที่ทันสมัย แต่สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการทำงานด้านการสร้างแบรนด์มาตลอดก็คือ เทคโนโลยีมาแล้วก็ไป ใครๆ ก็สามารถมีและพัฒนาได้ แต่เรื่องของความชำนาญการ ประสบการณ์การดูแล และการดูแลใส่ใจความรู้สึก ที่บุคลากรของเรามีต่อคนไข้ทุกคน เรื่องนี้เชื่อว่าจะสร้างความแตกต่างให้เราจากคนอื่น ๆ ได้ มันคือ Emotional engagement ระหว่างแพทย์และคนไข้ที่มีต่อกัน หรือแม้แต่การทำงานที่สอดประสานกันระหว่างทีมแพทย์ด้วยกันเพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากที่สุด เป็นซอฟท์ไซด์ (soft side) ที่ทำให้บำรุงราษฎร์ได้รับความไว้วางใจและได้รับความเชื่อถือจากคนไข้ทั้งในประเทศและต่างประเทศตลอดระยะเวลา 40 ปีของเรา
เทคโนโลยีทันสมัยและความเชี่ยวชาญของแพทย์บำรุงราษฎร์
ถ้าเช่นนั้นแล้วบำรุงราษฎร์มีเทคโนโลยีทางการแพทย์อะไรบ้างที่จะมาช่วยดูแลคนไข้ในปัจจุบัน นภัส เล่าว่า ปัจจุบันเรามี “หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด ดาวินชี่” เป็นหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดที่จะสามารถเข้าไปผ่าตัดในอวัยวะที่มีความซับซ้อนได้ หรืออวัยวะที่มีขนาดเล็ก โดยที่การผ่าตัดทั่วไปเข้าไม่ถึง ซึ่งจะส่งผลเชิงบวกต่อการรักษา แผลเล็กเจ็บน้อยฟื้นตัวไวกลับบ้านได้เร็ว และเป็นการผ่าตัดที่ไม่ทำลายเนื้อเยื่อของอวัยวะข้างเคียง ลดการสูญเสีย ใช้กันเยอะในการผ่าตัดมะเร็งต่อมลูกหมาก ซึ่งถ้าใช้เจ้าตัวนี้จะกระทบต่ออวัยวะข้างเคียงน้อยมาก
นอกจากนี้ ยังใช้ IBM Watson ในการวินิจฉัยโรคมะเร็ง ซึ่งมีความแม่นยำสูงมาก ซึ่งช่วยแพทย์วินิจฉัยเรื่องของมะเร็งได้แม่นยำมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงบำรุงราษฎร์มีหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดกระดูกสันหลัง ที่จะช่วยให้แพทย์ทำงานได้สะดวกมากยิ่งขึ้น หรือเรียกว่าเป็นหุ่นยนต์นำวิถี เป็น Navigator ทำให้การผ่าตัดของแพทย์ได้ผลเชิงบวกมากขึ้น
ภาพยนตร์โฆษณาช่วยผลักดัน Medical and Wellness Tourism
แน่นอนว่านอกจากเรื่องของการท่องเที่ยวแล้ว เรื่องของ Medical and Wellness Tourism ประเทศไทยก็ส่งเสริมและผลักดันเรื่องนี้มาตลอดเวลาหลายปี ซึ่ง นภัส ให้ความเห็นว่า ภาพยนตร์โฆษณาตัวนี้จะมาช่วยเสริมผลักดันให้ไทยก้าวไปสู่แถวหน้าของ Medical and Wellness Tourism โดยบอกว่า ได้มีโอกาสนำภาพยนตร์โฆษณาตัวนี้ไปให้กับ ททท. และหน่วยงานรัฐหลายๆ แห่งดู และมองว่าน่าจะมีส่วนช่วยผลักดัน Medical and Wellness Tourism ได้ หรือครั้งล่าสุด ก็นำไปเปิดให้ที่ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังก็ได้รับเสียงชื่นชมมากมาย ซึ่งคิดว่าถ้าตรงนี้มันเป็นพลังส่วนหนึ่งในการช่วยประเทศไทยได้ช่วยเศรษฐกิจไทยได้ก็เป็นเรื่องที่ดี แต่ก็ต้องมีพลังบวกเยอะๆ ต้องมีหลายปัจจัยประกอบกันด้วย
“อยากให้นึกถึงแดจังกึม ที่ครั้งหนึ่งเคยสร้างปรากฏการณ์ให้คนไทยอยากไปเที่ยวเกาหลี อยากไปกินอาหารเกาหลี แล้วก็ส่งผลให้ทัวร์เกาหลีได้รับความนิยมมากในยุคนั้น ผนวกกับมาตรการการดูแลวิกฤตโควิด ประเทศไทยเราก็ทำได้ดี หากเทียบกับประเทศรอบข้างหรือแม้แต่ประเทศมหาอำนาจหลายๆ แห่ง ทั้งตัวเลขผู้เสียชีวิต ตัวเลขผู้ติดเชื้อ หรือมาตรการคุมเข้มของเรา ดังนั้น ถือเป็นโอกาสที่ดีมากๆ ที่เราจะนำตรงนี้ไปต่อยอดให้เกิดผลดีกับประเทศไทยได้”
การตลาดที่ดีที่สุดของบำรุงราษฎร์ เกิดจากการบอกต่อ
ตลอดระยะเวลา 40 ปี สิ่งที่ทำให้คนไข้ทั้งไทยและต่างประเทศพึงพอใจในการบริการของบำรุงราษฎร์แล้วยังกลับมาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง นภัส กล่าวว่า นอกจากมันคือผลการรักษาที่ไว้วางใจได้แล้ว มันก็คือการทำงานที่สอดประสานของทีมแพทย์พยาบาล เภสัชกร โภชนากร แล้วก็ผู้รับผิดชอบต่างๆ ที่เป็นเนื้อเดียวกัน ทำให้เกิดผลการรักษาที่ดี ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีเคสมะเร็งกระเพาะอาหารเกิดขึ้น เราไม่ได้ส่งให้แพทย์ด้านมะเร็งรักษาดูแลคนเดียว แต่เราจะต้องปรึกษาแพทย์อื่นๆ ด้วย เช่น ศูนย์ทางเดินอาหาร เราก็ต้องไปปรึกษาแพทย์ทางเดินอาหารด้วยว่าต้องทำอย่างไรบ้าง หาแนวทางการรักษาที่เหมาะสมที่สุด และที่สำคัญเลยก็คือ ประสบการณ์และชื่อเสียงที่ดีงามที่สั่งสมมา 40 ปีของบำรุงราษฎร์ รวมทั้งประสบการณ์ของทีมแพทย์และบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้วย จึงทำให้บำรุงราษฎร์ได้รับความไว้วางใจจากคนไข้ทั้งไทยและต่างประเทศ
“มากไปกว่านั้น การตลาดที่ดีของบำรุงราษฎร์ก็คือ การตลาดแบบบอกต่อ คือต่อจะให้ทำโฆษณา หรือข้อมูลอะไรต่างๆ ดีแค่ไหน มันก็ไม่มีผลเท่าการที่คนไข้เดินเข้าเดินออกกว่า 3,000 คน แล้วเขาไปพูดถึงสิ่งดีๆ ประสบการณ์ดีๆ ความประทับใจ ที่เขาได้รับจากโรงพยาบาล แล้วเขาก็กลับมารักษาต่ออย่างเนื่อง ซึ่งทำให้คนอื่นได้ทราบข่าวและก็อยากมารักษากับเราด้วย”
Next Normal ของธุรกิจโรงพยาบาลในอนาคต
นับจากโควิด-19 เข้ามาก็ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรมากมาย รวมไปถึงธุรกิจโรงพยาบาลด้วย โดย นภัส มองว่า โลกยุคใหม่โรงพยาบาลจะต้องรุกมากขึ้น จะต้องเข้าถึงผู้ป่วยมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็เกิดเทรนด์ที่ว่าผู้บริโภคจะหันมาดูแลตัวเองมากขึ้นด้วย โดยได้ยกตัวอย่างเทคโนโลยีที่เรียกว่า Teleconsultation ที่ใช้ในช่วงล็อกดาวน์ที่ไม่สามารถเดินทางได้สะดวกทั้งในประเทศและต่างประเทศ บำรุงราษฎร์ก็ใช้เทคโนโลยีนี้ในการให้คำปรึกษากับคนไทยและชาวต่างชาติ หรือจะเรียกว่าเป็นการโทรเวชกรรมทางไกลก็ได้ โดยคุณหมอจะให้คำแนะนำผ่านระบบวิดีโอคอลเป็นการรักษาเบื้องต้นแก่คนไข้ที่ต้องการรักษาอย่างต่อเนื่องได้
นอกจากนี้ อนาคตโรงพยาบาลจะต้องออกไปหาผู้ป่วยมากขึ้นที่เรียกว่า Outreach ที่เราจะต้องเดินทางไปหาผู้ป่วยถึงบ้าน เช่น ไปฉีดวัคซีน หรือไปเจาะเลือดตามใบสั่งแพทย์ให้ เราก็มีบริการตรงนี้เช่นกัน เรียกว่าให้บริการดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่องแก่ผู้ป่วยและครอบครัวถึงบ้าน สะดวก และยังประหยัดเวลาในการเดินทางมาที่โรงพยาบาลอีกด้วย
สำหรับ Next Normal ของธุรกิจโรงพยาบาลต่อไปของวงการแพทย์ นภัส มองว่า บทบาทของ AI จะเข้ามามีส่วนสำคัญมากขึ้นในเทคโนโลยีทางการแพทย์ เช่น ช่วยในการดักจับโรคอุบัติใหม่ได้เร็วขึ้น สะดวกขึ้น หรือเรื่องของ Health Care หรือการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน ซึ่งจะเป็นเทรนด์ใหม่ที่ผู้บริโภคจะดูแลตัวเองมากขึ้น เพื่อเป็นการป้องกัน แทนที่จะรอเกิดปัญหาแล้วค่อยมารักษาภายหลัง ซึ่งเทรนด์นี้ผู้บริหารบำรุงราษฎร์ก็มีวิชั่นไกลเห็นมาก่อนโดยมีการทำโครงการที่ชื่อว่า “รักษ” (รัก-ษะ) เป็นความร่วมมือของ 3 แบรนด์ระหว่าง ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ มั่นคงเคหะการ และ ไมเนอร์ เปิดศูนย์บูรณาการสุขภาพและการแพทย์แบบองค์รวม “รักษ และไวทัลไลฟ์ @บางกระเจ้า” เพื่อรองรับลูกค้ากลุ่มสนใจสุขภาพจากทั่วโลก ให้เดินทางมาเข้าพำนักและดูแลสุขภาพที่มีความเฉพาะเจาะจงตามสภาพร่างกายของลูกค้าแต่ละคน รวมทั้งบำรุงราษฎร์จะมีบริการใหม่ๆ อีกมากมายเพิ่มเติม เพื่อตอบสนองกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปและตรงจุดกับความต้องการมากขึ้น
ชื่นชมในแนวคิดการทำงานของบำรุงราษฎร์ โดยเฉพาะการไม่ยอมแพ้กับอุปสรรคต่างๆ นำมาซึ่งความชื่นชมต่อวงการแพทย์ไทยทั้งหมด แต่มากไปกว่านั้นคือการสร้างสรรค์ผลงานโฆษณาที่ถ่ายทอดความทุ่มเทและความเชี่ยวชาญของทีมแพทย์ รวมไปถึงสะท้อนถึงความมีน้ำใจของคนไทยด้วย ซึ่งสิ่งนี้จะทำให้ชาวต่างชาติระลึกถึงเมืองไทยอีกครั้ง ไม่เฉพาะแค่เมืองไทยมีสถานที่ท่องเที่ยวสวยงาม แต่เมืองไทยยังมีความโดดเด่นในเรื่องความสามารถทางการแพทย์อีกด้วย