Amway ธุรกิจชั้นนำ บริษัทต้นตำรับโมเดลขายตรงของโลก และยืนหนึ่งของธุรกิจขายตรงอันดับ 1 ของโลกเช่นกัน ยังไม่รวมถึงสินค้าหลายตัวก็เป็นสินค้าอันดับ 1 ที่ทั่วโลกยอมรับ แต่เราคงไม่ได้มาสาธยายว่า Amway มีอะไรที่ได้อันดับ 1 มาแล้วบ้าง เพราะคงมีหลายตัวมากทีเดียว แต่สิ่งที่เราอยากเล่าให้ฟัง จากการติดตามไปชม “ศูนย์วิจัยพฤกษศาสตร์แอมเวย์” ซึ่งกินพื้นที่กว่า 298 ไร่ ที่เมืองอู๋ซี สาธารณรัฐประชาชนจีน รวมไปถึงแนวคิดที่จะสร้างโลกที่ทำให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดี มีจิตใจที่พร้อมสมบูรณ์ มีกินมีใช้ของ Amway องค์กรอายุกว่า 65 ปี ต่างหากที่เราอยากจะชวนทุกคนมาติดตามไปพร้อมกัน
คุณทศพร นิษฐานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะเจ้าบ้าน แต่ไม่ใช่เจ้าของสถานที่ นำคณะของเราเข้าไปเยี่ยมชม “ศูนย์วิจัยพฤกษศาสตร์แอมเวย์” (Amway Botanical Research Center หรือ ABRC) โดยมี “ดร. ตงกังเฉียง” นักวิทยาศาสตร์การเกษตร ดุษฎีบัณทิตสาขาสารอาหารสำหรับพืช” ซุปเปอร์สตาร์ประจำศูนย์วิจัย (เพราะเราเห็นเขาขึ้น VDO ในทุกๆ จุดของศูนย์) เป็นผู้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับศูนย์วิจัยแห่งนี้ ซึ่งต้องถือว่าเปิดโลกของด้านสมุนไพรให้กับเรามาก เพราะถึงแม้ว่าเราจะรู้อยู่แล้วว่า “สมุนไพร” คือสิ่งมหัศจรรย์ที่มนุษย์เราจะนำมาใช้ประโยชน์ได้ แต่เราก็ยังไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับ “สมุนไพร” ในหลายๆ แง่มุมอีกมากมาย ซึ่งต้องถือว่า จากการติดตามหนังจีนมาตลอด คนจีนนี่แหละที่เราสามารถบอกได้ว่า คือผู้เอกอุด้านสมุนไพรที่แท้จริงเลย แต่ถึงกระนั้น ศูนย์วิจัยแห่งนี้ก็ยังทำให้เราทึ่งแล้วทึ่งอีกอย่างไม่รู้จบได้เลย
ศูนย์วิจัยพฤกษศาสตร์แอมเวย์ หรือศูนย์ ABRC ก่อสร้างขึ้นในปี 2013 (พ.ศ. 2556) มีพื้นที่ 298 ไร่ ตั้งอยู่ที่เมืองอู๋ซี (Wuxi) สาธารณรัฐประชาชนจีน ใช้เงินลงทุน 25 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นศูนย์วิจัยที่ทำการศึกษาและพัฒนาพฤกษศาสตร์การทำฟาร์มสมุนไพรจีนออร์แกนิกแห่งแรกของโลก ภายใต้การศึกษาพันธุ์พืชที่ใส่ใจทุกกระบวนการอย่างพิถีพิถัน
ความน่าทึ่งแรกที่เราพบก็คือ การผนวกเอาความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ทันสมัย ตั้งแต่การคัดสรรเมล็ดพันธุ์ พื้นที่เพาะปลูก และวิธีปฏิบัติในการปลูกพืชสมุนไพรที่ดีที่สุด นั่นหมายความว่า ศาสตร์โบราณนับพันๆ ปี อย่าง “สมุนไพร” ถูกดึงความ The Best of The Best ออกมาผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ รวมไปถึงการนำเอาพันธุ์ “เก็กฮวยขาว” ของที่นี่ ทดลองขึ้นไปปลูกบนยานอวกาศด้วย เพื่อดูว่าสภาพอากาศแบบนั้นจะสามารถดึงสิ่งที่ดีที่สุดของเก็กฮวยขาวได้ออกมาหรือไม่ ที่สำคัญคือ ABRC คือแรงขับเคลื่อนให้ “นิวทริไลท์” สานต่อองค์ความรู้ด้านศาสตร์สมุนไพรได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ต่อยอดปรัชญาแนวคิดของ “คาร์ล เรห์นบอร์ก” ผู้ก่อตั้งแบรนด์นิวทริไลท์ ที่ว่า “ดีที่สุดจากธรรมชาติ ดีที่สุดจากวิทยาศาสตร์” (Best of Nature, Best of Science) ให้เห็นเป็นรูปธรรม (ปัจจุบัน Amway มีฟาร์มออร์แกนิกระดับโลก อีก 3 แห่งด้วยกัน ได้แก่ที่ บราซิล เม็กซิโก และสหรัฐอเมริกา)
อย่างไรก็ตาม “นิวทริไลท์” มีอายุถึง 90 ปีแล้ว (อายุมากกว่าแอมเวย์) นับเป็นแบรนด์ที่มาก่อนกาล ก่อนที่ผู้คนจะตื่นตัวในเทรนด์สุขภาพ แต่ “นิวทริไลท์” ทำเรื่องนี้เกือบร้อยปีแล้ว และปีนี้ถือเป็นปีที่สำคัญที่ Amway จะเฉลิมฉลองให้กับความสำเร็จของ “นิวทริไลท์” ผลิตภัณฑ์แบรนด์เรือธง ที่ครองอันดับ 1 ของโลกและของไทย
“เก็กฮวย, บลูเบอรี่ และ ดอกบัว” ดาวเด่นแห่ง ABRC
สำหรับไฮไลท์ของงานวิจัยในช่วงนี้ของ ABRC ได้แก่ เก็กฮวย, บลูเบอรี่ และ ดอกบัว สำหรับ ดอกเก๊กฮวย (Chrysanthemum) การวิจัยและพัฒนาดอกเก๊กฮวยเป็นระยะเวลานานกว่า 8 ปี ทำให้แอมเวย์ค้นพบวิธีการเพาะปลูกที่ดีที่สุดรวมถึงสภาพแวดล้อมที่ดีที่สุดที่เอื้อต่อการเติบโตของพืช ตั้งแต่ดิน เมล็ดพืช การปลูก การเก็บเกี่ยว การแปรรูป และด้านอื่นๆ เพื่อให้ได้ ‘ไฟโตนิวเทรียนท์’ ที่ดีที่สุด และนำมาเป็นส่วนผสมหลักในผลิตภัณฑ์นิวทริไลท์ด้วย
ส่วน เรื่องราวของการวิจัย “ดอกบัว” และ “ต้นบลูเบอร์รี่” เน้นเรื่องการคัดเลือกสายพันธุ์ที่เป็นเลิศ เพื่อการค้นหาพัฒนาวัตถุดิบที่มีคุณภาพของนิวทริไลท์เริ่มต้นจากการสะสมพันธุ์ต่างๆ ของพืช ที่ศูนย์ ABRC จะมีพืชบางชนิดที่มีนับร้อยสายพันธุ์ ดังนั้น แอมเวย์ จึงสะสมดอกบัวไว้มากกว่า 300 สายพันธุ์ และ ต้นบลูเบอร์รี่กว่า 200 สายพันธุ์ อย่างไรก็ตาม แอมเวย์เลือกเพียง “หนึ่ง” ของทั้งหมด เพื่อเป้าหมายที่จะพัฒนาวัตถุดิบบางชนิดให้ “มีลักษณะเฉพาะ” เช่น การพัฒนาดอกบัวหรือดอกเก๊กฮวยสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งแอมเวย์พัฒนาสายพันธุ์ที่ “เป็นเอกลักษณ์” ได้สำเร็จแล้ว
อย่างไรก็ตาม ทั้งการเพาะและพัฒนาสายพันธุ์พืชและสมุนไพรต่างๆ นั้น ข้อกังวลเกี่ยวกับการปนเปื้อนหรือการกลายพันธุ์ “ดร.ตง” ระบุว่า ระบบต่างๆ ของศูนย์วิจัย มีข้อกำหนด และระเบียบที่ชัดเจน ในการควบคุมสภาพดิน น้ำ อากาศที่เปลี่ยนแปลง รวมถึงการคำนึงเรื่องสภาพแวดล้อมอย่างดี ซึ่งเราค่อนข้างมั่นใจว่า จะไม่ส่งผลกระทบกับชุมชนโดยรอบ หรือกระทบกับสายพันธุ์พืชที่เรากำลังพัฒนาด้วย
เทคโนโลยีทันสมัย ดึงศักยภาพแบบที่สุดของสมุนไพรพันปี
นอกเหนือจากการพัฒนาพันธุ์พืชที่น่าทึ่งแล้ว ในส่วนของ “ห้องวิจัยการเกษตรอัจฉริยะ” ก็ยังทำให้เราทึ่งในการนำวิทยาศาสตร์มาใช้ในการพัฒนาและวิจัยพันธุ์พืชต่างๆ ได้อย่างน่าสนใจอีกด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้ได้วัตถุดิบที่บริสุทธิ์และมีคุณภาพสูง ดังนั้นน ABRC จึงให้ความสำคัญกับการเพาะปลูกแบบออร์แกนิกและการวิจัยด้านการเกษตรแบบอัจฉริยะ รวมไปถึงการมุ่งมั่นค้นหาวิธีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของการเพาะปลูกและคุณภาพของวัตถุดิบเพื่อนำมาเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับนิวทริไลท์
รวมไปถึงการ ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น Internet of Things , Big Data, AI , การประมวลผลแบบ Clouds ฯลฯ เพื่อช่วยด้านการเกษตรให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น พร้อมกับยกระดับคุณภาพและความบริสุทธิ์ของวัตถุดิบ ด้วยวิสัยทัศน์ด้านการพัฒนาความเป็นเลิศด้านคุณภาพผลิตภัณฑ์ของนิวทริไลท์นั่นเอง
ก้าวใหม่ Amway ‘สุขภาพนำโอกาสทางธุรกิจ’
นั่นคือมุมของการพัฒนาและวิจัยโดย Amway แล้วถ้าในแง่ของธุรกิจล่ะ คุณทศพร จึงรับไม้ต่อทำหน้าที่เผยทิศทางในปัจจุบันและอนาคตของ Amway ว่า หากยังจำได้ ก่อนหน้านี้ Amway มีสโลแกนว่า Helping People Live Better Lives คือถ้าอยากมีชีวิตที่ดีต้องมา Amway แต่ปัจจุบันมีการเติมคำว่า Healthier เข้าไปด้วย จนกลายเป็น “Helping People Live Better, Healthier Lives” และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ Amway มุ่งสู่การเป็นผู้นำตลาด Health & Wellbeing โดยที่มีแบรนด์ “นิวทริไลท์” เป็นแม่ทัพสำคัญ ในการที่จะครองบัลลังก์อันดับ 1 ของตลาด Vitamins and Supplements ทั้งของไทยและของโลก ต่อไป
สำหรับยอดขาย Amway ทั่วโลก 5 อันดับแรก ได้แก่
- อันดับ 1 ประเทศจีน
- อันดับ 2 สหรัฐอเมริกา
- อันดับ 3 เกาหลีใต้
- อันดับ 4 ญี่ปุ่น
- อันดับ 5 ประเทศไทย
“เป็นความภูมิใจของประเทศไทยอย่างมาก ที่เราติดอันดับยอดขายของโลก เพราะถ้าเทียบกับประเทศอื่นๆ แล้วเราเรียกได้ว่าเป็นประเทศเล็กมาก ไม่ว่าจะเป็นขนาดประเทศหรือ GDP แต่เราก็สามารถติดอันดับ Top 5 ของโลกได้”
ปัจจุบันความคิดของเราได้ตกตะกอนแล้วจาก A60 ถึง A65 ทำให้กลับมาทบทวนตัวเองว่าควรที่จะโฟกัสอะไรดีกว่าที่จะขายไปหมดทุกอย่างแบบเดิม
“ดังนั้น จากที่เคยขายทุกอย่าง ซึ่งเราก็ยังมีทุกอย่างขายเหมือนเดิมตามปกติ แต่ก้าวใหม่ของเราคือการเอาสุขภาพนำโอกาสทางธุรกิจ”
3 หมวดสำคัญผลิตภัณฑ์ โฟกัสมากขึ้น
สำหรับ 3 หมวดผลิตภัณฑ์ที่ Amway จะโฟกัส มีดังนี้
1) All plant หรือ Whole plant
All plant หรือ Whole plant เป็นศาสตร์ที่เชื่อว่าการกินทั้งต้นทั้งใบทั้งหมด มันคือธรรมชาติที่ดีที่สุด ยกตัวอย่างเช่น สินค้าที่ขายดีมาก ก็คือ “นิวทริไลท์ ออล แพลนท์ โปรตีน” ซึ่งจะเป็นหนึ่งใน Key differentiation ที่ Amway เชื่อว่าถ้าเราจับตัวนี้ให้ดี ทําโปรตีนให้ดีทําผลิตภัณฑ์จากพืชเหล่านี้ให้ดี จะทำให้เราเป็นผู้นำของโลกได้
2) ไฟโตนิวเทรียนท์ (Phytonutrients)
ไฟโตนิวเทรียนท์ มาจากผัก 5 สี คีย์ของมันคือ มนุษย์เรามีธรรมชาติที่ดี มีสมุนไพรที่ทรงคุณค่า แต่วิทยาศาสตร์จะดึงหรือสกัด หรือใช้ Data มาเพื่อค้นหาให้เจอถึง สิ่งที่ดีที่สุดในสมุนไพรนั้น สร้างผลสัมฤทธิ์ที่ดีที่สุด สำหรับผลิตภัณฑ์ที่โด่งดังในกลุ่มนี้ ได้แก่ Double X เป็นวิตามินรวมและเกลือแร่อยู่ในตลับเดียวกัน
3) ไมโครไบโอม (MicrobiOME)
หนึ่งในนวัตกรรมที่ผู้คนกําลังให้สนใจอย่างมากในขณะนี้ นั่นคือการรักษาสุขภาพโดยไม่ใช้เคมี ใช้ธรรมชาติดูแลร่างกาย สืบเนื่องจากเรามี กูรูด้านวิทยาศาสตร์กระจายตัวอยู่ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นสถาบันความงามหรือสถาบันสุขภาพ ซึ่งมีการศึกษาวิจัยในการคิดค้นนวัตกรรมทางธรรมชาติมาให้ดูแลสุขภาพของผู้คน อย่างการใช้จุลินทรีย์ดีดูแลสุขภาพเราเอง ซึ่งเรื่องของ ไมโครไบโอม มันมากกว่า Gut health แต่มันอยู่ทั้งร่างกายของเรา ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ซึ่ง Amway มั่นใจว่ามีผลิตภัณฑ์ที่สามารถดูแลผู้บริโภคได้ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าด้วยไมโครไบโอม
“เพราะฉะนั้นเรากลับมามองตัวเองว่าถ้าเราเน้นสาม เรื่องนี้ All plant หรือ Whole plant, ไฟโตนิวเทรียนท์ และ ไมโครไบโอม (Microbiome) เราจะขึ้นเป็นผู้นําในแง่ของสุขภาพและชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีได้”
กลยุทธ์ Storytelling มาพร้อมการสร้าง Community
ในมุมของการผลักดันโปรดักส์ที่เราจะเห็นชัดเจนขึ้นจากนี้ อย่างไรก็ตาม ในแง่ของกลยุทธ์ นอกเหนือจากระบบขายตรงที่แข็งแกร่งเป็นเบอร์ 1 ของโลกของ Amway แล้ว สิ่งที่เพิ่มเติมขึ้นมา คือการนำกลยุทธ์ Storytelling มาใช้ “หลายครั้งที่เราใช้ผลิตภัณฑ์หรือดื่มน้ำเก๊กฮวยแล้วรู้สึกดีเป็นปกติ แต่ถ้าเรานำเสนอผ่านเรื่องราว ผ่านการใช้ Storytelling มันกลับทำให้เรารู้สึกเลยว่า สิ่งๆ นั้นมีดีมากกว่าเดิม มันจะเพิ่มวาลู เพิ่มคุณค่าขึ้นมาทันที”
นอกจากนี้ อีกสิ่งที่จะเห็นเพิ่มเติมมากขึ้นก็คือการสร้าง Community ผ่าน Amway shop (ปัจจุบันมี 82 สาขา) ซึ่งได้มีการปรับรูปแบบไปเป็น Amway Café ประมาณ 20 กว่าสาขาตามหัวเมืองต่างๆ เพื่อให้กลายเป็นศูนย์กลางเป็นคอมมูนิตี้ที่ชาวแอมเวย์ได้มาพบปะเจอกัน แลกเปลี่ยนพูดคุยข้อมูลด้านสุขภาพและไลฟ์สไตล์ร่วมกันได้ ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่าเป็นการขายตรงรูปแบบใหม่ที่ถูกยกระดับขึ้นก็ได้
“ผมเชื่อว่าด้วยคอมมูนิตี้นี้จะทําให้การขายตรงเข้าถึงใกล้ตัวผู้บริโภคได้มากขึ้น แต่เราไปด้วยคอนเทนต์ เราไปด้วย Storytelling เราไปด้วยความรู้ด้านสุขภาพแล้วจะไปด้วยกับการจับมือกับพันธมิตรต่างๆ มากมาย แล้วสุดท้ายเราจะทำให้ทุกคนมีสุขภาพที่แข็งแรงขึ้น โดยเป้าหมายของ Amway คือคน 1,000 ล้านคนทั่วโลก มีสุขภาพที่ดีและยืนยาว ซึ่งแน่นอนว่าเป็น 10 ล้านคนที่เป็นคนไทยอยู่ในนั้นด้วย” คุณทศ CEO Amway Thailand