บางทีนักการตลาดหรือคนที่รู้จักการใช้โอกาสนั้นก็ต้องฟังคนรอบข้าง โดยเฉพาะผู้ไม่มีประสบการณ์ในชีวิต ซึ่งหลาย ๆ คนนั้นไม่อยากจะฟังหรือไม่อยากจะเชื่อสามารถที่มีออกมา เพราะเราประสบการณ์มากกว่า เรามมีมุมมองมากกว่า และเราทำงานในสายตรงมากกว่า แต่การฟังคนที่ไม่มีประสบการณ์เหล่านี้ก็สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับมุมมองคุณได้เลยในความคิดต่าง ๆ ที่เราเคยเชื่อมา
เด็ก ๆ คือตัวอย่างหนึ่งที่ผู้ใหญ่มักไม่ใส่ใจในความคิดหรือคำพูดของเด็ก ๆ ที่แนะนำออกมา เพราะคิดว่าเด็กนั้นคงไม่ประสีประสา หรือไม่มีประสบกาณ์ไม่น่าจะรู้จริง แต่จริง ๆ แล้วมีตัวอย่างอันดีที่เด็กนั้นสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงทางความคิดของคนบางคนได้ ซึ่งวันนี้จะมาเล่าถึงเด็ก 2 คนในคนละยุคที่มีสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตคนได้ ทำให้คนนึงชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีและกลายเป็นบุคคลที่สำคัญของโลก และเด็กอีกคนที่สามารถช่วยพ่อแม่ให้รอดพ้นจากภัยพิบัติหายนะได้
มีนักการเมืองวัยหนุ่มในยุคปี 1830 ที่ไม่ไว้หนวด เครา เพราะด้วยอาชีพเก่าที่ทำมาซึ่งเป็นทนายที่จะไม่นิยมไว้เครากันในยุคนั้น เพื่อแสดงความเคารพต่อศาลและงานที่ทำ นอกจากนี้เขายังต้องการที่จะแสดงว่าเขาทำงานหนักแค่ไหน จากการที่บ่งบอกผ่านใบหน้าที่ไม่มีเครานี้ ซึ่งคนจะสามารถมองได้เด่นชัดขึ้นเมื่อไม่มีเครา โดยในยุคนั้นผู้ชายหลาย ๆ คนนิยมไว้เครากันอย่างมาก นักการเมืองหนุ่มวัยนี้โกนเคราและหนวดเกลี้ยงเกลาตลอดเวลาที่ไปเยี่ยมประชาชน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นแต่ต่างจากที่เขาคิดไปมาก เพราะประชาชนไม่ได้ประทับใจกับภาพลักษณ์ที่มาเยี่ยมแบบนี้ สื่อในยุคนั้นบรรยายนักการเมืองหนุ่มคนนี้ว่า มีหัวโตอย่างมาก มีเบ้าตาที่ใหญ่และลึกมาก มีจมูกที่ใหญ่ปากที่กว้าง ใบหูก็ใหญ่อีกตั้งหาก นอกจากนี้แก้มยังตอบใหญ่จนเห็นกระดูกแก้มออกมา แถมดูผอมกับมีคอที่เล็กนิดเดียว ซึ่งภาพลักษณ์ที่สื่อบรรยายนี้ทำให้นักการเมืองหนุ่มคนนี้ ทำให้เขาไปเยี่ยมที่ไหนนั้นไม่ได้ทำให้ประชาชนรู้สึกอบอุ่นหรือประทับใจในการมาเยี่ยมของนักการเมืองคนนี้ ทำให้เมื่อต้องเลือกตั้งในตำแหน่งต่าง ๆ เขามักจะพ่ายแพ้เสมอไม่ว่า การเลือกตั้งสภานิติบัญญัติของรัฐปี 1832 เขาพ่ายแพ้การเลือกตั้งเป็นโฆษกพรรคปี 1838 เขาพ่ายแพ้การเลือกตั้งเป็นตัวแทนรัฐสภาของอเมริกาปี 1843 และพ่ายแพ้อีกครั้งในปี 1848 เขาพ่ายแพ้ในปี 1853 ในการลงสมัครเป็นวุฒิสมาชิกของอเมริกา เขาพ่ายแพ้ในการลงชิงชัยเป็นรองประธานาธิบดีอเมริกาในปี 1856 แล้วมาพ่ายแพ้อีกครั้งใรปี 1858 ในการลงสมัครเป็นวุฒิสมาชิกของอเมริกาอีกครั้ง ตลอด 30 ปีในอาชีพนักการเมือง นักการเมืองผู้ไม่ไว้หนวดเครานี้ไม่ประสบความสำเร็จเลย
จนเมื่อปี 1860 เขาเป็นตัวแทนพรรครีพลับบริกันในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เขาได้รับจดหมายจากเด็กสาวคนนึงที่อายุ 11 ขวบที่ชื่อ Grace Bedell บอกเนื้อความในจดหมายว่า “ท่าน, หนูอยากให้ท่านเป็นประธานาธิบดีของอเมริกา ถ้าท่านไว้เคราท่านจะดูดีขึ้นมากจากหน้าที่ดูผอม พวกผู้หญิงชอบเคราจะกล่อมพวกผู้ชายที่บ้านให้โหวดให้ท่าน และท่านจะได้เลือกเป็นประธานาธิบดี” ทั้งนี้นักการเมืองหนุ่มตอบกลับไปว่าการจะไว้ตอนนี้จะไม่ดูตลกไปเหรอ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็เริ่มไว้เครา ซึ่งสุดท้ายเขาได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีของอเมริกา ได้ถึง 2 สมัย และเป็นคนปลดปล่อยทาสของอเมริกา นักการเมืองคนนี้คือ Abraham Lincoln ซึ่งฟังคำแนะนำของเด็กน้อยอายุ 11 ปีที่ไม่มีประสบการณ์อะไรเลย แต่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงให้ Abraham ได้สร้างประวัติศาสตร์เช่นนี้
ยังมีอีกเรื่องราวของเด็กสาวอีกคนที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในปี 2004 Tilly Smith อายุ 10 ปีมาเที่ยวที่ประเทศไทยในช่วงคริสต์มาสกับพ่อแม่ เด็กสังเกตุเห็นความผิดปกติของชายหาดในวันนั้นที่อยู่ดี ๆ น้ำทะลหายไป ซึ่งนักท่องเที่ยวคนอื่นกำลังสนใจในการเกิดปรากฏการณ์นี้ แต่เธอนั้นกลับรีบไปเตือนแม่ของเธอให้หนีไปหาที่สูงขึ้น ในตอนแรกพ่อแม่เธอไม่เชื่อในสิ่งที่พูด จนเมื่อเธออธิบายในสิ่งที่ได้เรียนมาจากห้องเรียนว่าสิ่งที่เห็นกำลังเป็นสัญญาณเตือนของอันตรายของการมาถึงสึนามิในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ทำให้พ่อแม่เธอนั้นมีเวลาไปแจ้งเจ้าหน้าที่โรงแรมและนักท่องเที่ยวคนอื่นในวันนั้น ซึ่งหลังจากเตือนไม่กี่นาที คลื่นก็ซัดเข้ามาพังทุกอย่างที่ขวางหน้า แต่โรงแรมที่หนูน้อย Tilly Smith อยู่ทุกคนนั้นปลอดภัยและไม่มีใครบาดเจ็บสาหัสอีกด้วย ทั้ง ๆ ที่อื่น ๆ มีคนเสียชีวิตมากมายจากโศกนาฏกรรมวันนั้น จากการเตือนของเธอ และพ่อแม่ของเธอที่เชื่อฟังทำให้เธอไม่เพียงแต่ช่วยชีวิตพ่อแม่ในวันนั้นแต่ยังสามารถช่วยชีวิตและคนไทยที่ทำงานที่โรงแรมนับร้อยได้อีกด้วย
ทั้ง Abraham Lincoln และพ่อแม่ของ Tilly Smith ต่างเชื่อฟังเด็กที่ไม่มีประสบการณ์ เป็นคนธรรมดา แต่กลับกันคนทำการตลาดนตอนนี้กลับมีอีโก้และไม่คิดว่าคนธรรมดาจะสามารถแนะนำอะไรได้ นักการตลาดไม่แคร์ว่าคนธรรมดาจะบอกอะไร หรืออยากให้เราเป็นอะไร ทั้ง ๆ ที่การเชื่อนั้นอาจจะทำให้นักการตลาดนั้นทำงานได้ถูกทางมากขึ้น ได้ผลมากขึ้นไปอีกก็ได้ ในยุคนี้นักการตลาดที่ดีต้องรุ้ว่าไม่รู้อะไร หรือเริ่มที่จะต้อง unlearn สิ่งที่เรียนมา แล้ว relearn อะไรใหม่ ๆ จากคนรอบ ๆ ตัวหรือคนธรรมดาเพื่อให้ได้มุมมองมากขึ้นมา