ในตอนนี้ เรากำลังก้าวไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ทางการเงินที่มีชื่อว่า “Fintech Revolution” ซึ่งจะเป็นการเปลี่ยนแปลงการธนาคารในแบบที่เราเคยรู้จัก Fintech Revolution นี้จะมีทั้งผู้แพ้และผู้ชนะ ผู้ที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือผู้ที่ทำงานอยู่ในอุตสาหกรรมทางการเงิน นายธนาคารแห่งอนาคตจะแตกต่างจากนายธนาคารในปัจจุบันอย่างมากด้วยความแตกต่างกันทั้งด้านบุคลิกภาพ พื้นเพและทักษะ
แต่ก่อนอื่นเลย fintech คืออะไรกัน
Fintech ย่อมาจาก Financial Technology (เทคโนโลยีทางการเงิน) ซึ่งเป็นการใช้เทคโนโลยีในส่วนของการออกแบบและการให้บริการทางการเงิน โดยเป็นสิ่งสำคัญมากที่ต้องเข้าใจว่า fintech นั้นไม่ใช่สาขาวิชาของตัวเองแต่เป็นการควบรวมส่วนสำคัญต่างๆ เอาไว้ ที่ร่วมถึงการกู้ยืมระหว่างบุคคลต่อบุคคลทางออนไลน์ (peer-to-peer lending), ความปลอดภัยของข้อมูล (data security), ปัญญาประดิษฐ์ (artificial intelligence), บล็อกเชน (blockchain), ข้อมูลขนาดใหญ่ (big data), ผู้แนะนำการลงทุนอัตโนมัติ (robo-advisers), และการระดบทุนจากสาธารณะชน (crowd-funding) และทั้งหมดนี้ก็กำลังเปลี่ยนแปลงวิถีของการธนาคารที่ เรารู้จักไปอย่างแท้จริง
กล่าวอีกนัยหนึ่ง
Fintech เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของลูกค้าในการบริโภคการบริการทางการเงิน ความต้องการที่จะใช้บริการทางการเงินได้มีมาช้านานตั้งแต่รุ่นที่เก่าแก่ที่สุด (ความต้องการที่จะกู้เงิน ความต้องการที่จะให้ยืมเงิน ความต้องการที่จะชำระเงิน เป็นต้น) Fintech เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเปลี่ยนสมการอุปทาน (การส่งมอบ) ของผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินเช่นเดียวกับที่ Facebook หรือสื่อสังคมออนไลน์กำลังเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคของลูกค้าในด้านการสื่อสารและการแบ่งปันข้อมูล ความต้องการของการสื่อสารและแบ่งปันข้อมูลได้มีมาช้านานตั้งแต่รุ่นที่เก่าแก่ที่สุด โดย Facebook เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะสามารถตอบโจทย์สมการด้านอุปทานได้ดีกว่าผลิตภัณฑ์หรือบริการที่มีอยู่เดิม (เช่น ที่ทำการไปรษณีย์และโทรเลข)
แต่ทำไม Fintech Revolution ถึงเกิดขึ้นในตอนนี้
ตามประวัติศาสตร์ เมื่อมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี อุตสาหกรรมการธนาคารก็จะทำการรวบรวมเทคโนโลยีใหม่ๆ เหล่านี้เข้าด้วยกันเป็นอย่างดีเพื่อที่จะได้ให้บริการลูกค้าเช่นคุณได้ดียิ่งขึ้น แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไปในช่วงวิกฤตการณ์ปี 2008 นับแต่ปีนั้นเป็นต้นมา ทางธนาคารก็ต้องมาจัดวางเรื่องระเบียบและกฎกติกาขึ้นใหม่ นวัตกรรมไม่ได้เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดอีกต่อไป แต่ในขณะเดียวกันนวัตกรรมทางเทคโนโลยีที่กลายมาเป็นตัวแปรสำคัญและเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของเราก็ได้มาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเราเช่นกัน ตัวอย่างเช่น Iphone, Airbnb, Uber, Whatsapp และ Wechat เป็นต้น
สิ่งนี้ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างสิ่งที่ธนาคารสามารถให้บริการได้ (สมการอุปทานแบบเก่า) และความต้องการและความคาดหวังของลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของประสบการณ์ในด้านของผู้ใช้หรือความสะดวกสบายในการใช้บริการทางการเงิน (อุปทานแบบใหม่) และช่องว่างนี้ก็เป็นสิ่งที่อุตสาหกรรม Fintech กำลังพยายามแก้ไขอยู่ในตอนนี้โดยช่องว่างนี้มีขนาดใหญ่มากขนาดที่ว่าผู้เล่นด้านการธนาคารที่ไม่ใช่แบบดั้งเดิมก็ยังกระโดดเข้ามาร่วมวงเพื่อคว้าโอกาสนี้โดยส่วนใหญ่คือบริษัทด้านเทคโนโลยี
การธนาคารผ่านเครือข่ายโซเชียล(Social Banking) กำลังจะมาถึง!
คุณรู้หรือไม่ว่า Facebook มีการจดลิขสิทธิ์ที่แตกต่างกันถึง 50 ใบแค่เฉพาะในสหรัฐอเมริกาเพียงที่เดียวเพื่อที่จะทำให้สามารถโอนเงินผ่านแอพรับส่งข้อความได้
ในเร็วนี้นั้น Amazon ก็ได้ทำการทดลองจัดหาทุนกู้ยืมให้กับนักศึกษาผ่านทางแพลตฟอร์มของตน แอพรับส่งข้อความ Wechat ก็ได้กลายมาเป็นหนึ่งในเครื่องมือทั่วไปที่เอาไว้สำหรับโอนเงินโดยในช่วงตรุษจีนของปีที่แล้วนั้นพวกเขาก็ได้ดำเนินการทำธุรกรรมให้ซองแต๊ะเอียไปกว่า 8 พันล้านรายการ แอพ Wechat เดียวกันนี้ไม่เพียงแต่ทำให้คุณสามารถซื้อผลิตภัณฑ์ทางการเงินหรือลงทุนในกองทุนโดยตรงจากในสมาร์ทโฟนของคุณได้เท่านั้น แต่ยังสามารถนัดเวลาไปพบแพทย์ จองรถแท็กซี่และบริจาคเพื่อการกุศลโดยได้ที่ไม่จำเป็นต้องออกจากแอพเลย แพลตฟอร์มทางการเงินแห่งอนาคตนั้นจะไม่ใช่ธนาคารแบบเดิมๆ แต่จะเป็นบริษัทด้านเทคโนโลยี ลูกหลานของเราจะไม่ได้ไปเปิดบัญชีแรกที่ธนาคารกสิกรหรือ UOB แต่จะเป็นที่ Facebook หรือ Apple หรือ Line แทน
และธนาคารแบบดั้งเดิมเหล่านี้มีความกังวลเกี่ยวกับบริษัทด้านเทคโนโลยีเพราะว่าผู้ใช้ที่ใช้งานประจำทุกวันจะนิยมบริษัทเหล่านี้และพวกเขาก็ยังได้ความไว้วางใจและความเชื่อมั่นจากคุณ ถ้าคุณเชื่อมั่นพอที่จะแชร์รูปถ่ายลูกๆ ของคุณบน Facebook แล้วคุณจะไม่กล้าใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อส่งเงินไปด้วยเลยได้อย่างไร
ถ้าคุณซื้อของหรือสินค้าบน Amazon คุณจะไม่กล้าใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อซื้อประกันหรือผลิตภัณฑ์ทางการเงินเลยได้อย่างไร
ตอนนี้ได้มีธุรกิจ Startup แบบ Fintech ที่แยกส่วนมากจากการบริการด้านการธนาคารกว่าพันธุรกิจ การกู้ยืมเงินของบุคคลต่อบุคคลทางออนไลน์ (P2P lending) กำลังเสนอที่จะตั้งอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าทางธนาคาร แพลตฟอร์มผู้แนะนำการลงทุนอัตโนมัติ (Robo-advisory platform) ก็ได้เสนอโซลูชั่นการจัดการทรัพย์สินให้กับผู้ใช้ซึ่งไม่เพียงแต่มีความโปร่งใสในส่วนของสิ่งที่ต้องจ่าย แต่ยังมีราคาที่ถูกกว่าอีกด้วย สิ่งที่ทำให้ทางธนาคารกังวลใจที่สุดก็คือธุรกิจ Startup แบบ Fintech เหล่านี้สามารถเลือกส่วนของการธนาคารที่พวกเขาต้องการเข้าไปเกี่ยวข้องได้ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นส่วนที่ได้รับผลกำไรดีที่สุด
รูปแบบการธนาคารแบบใหม่แห่งอนาคต!
มันค่อนข้างที่จะเป็นไปได้ยากที่ธุรกิจ Startup แบบ Fintech ต้องการที่จะมาเป็นสถาบันรับฝากเงินซึ่งเป็นเหมือนตู้นิรภัยที่เก็บรักษาทรัพย์สินเอาไว้ แต่พวกเขายินดีที่จะได้ควบคุมเฉพาะฉากหน้าที่เข้าถึงลูกค้าและทิ้งให้ฉากหลังอันน่าเบื่อต้องตกเป็นของฝ่ายธนาคารแบบดั้งเดิม เช่นการตรวจสอบ การรายงานการกำกับดูแลและการมีส่วนร่วมในการฝากเงิน และสิ่งเหล่านี้อาจเป็นการสร้างรูปแบบการธนาคารแบบใหม่แห่งอนาคตที่ซึ่งธนาคารแบบดั้งเดิมคอยดูแลฉากหลังและเป็นผู้ให้บริการสาธารณูปโภคแก่บริษัทด้านเทคโนโลยีและธุรกิจ Startup แบบ Fintech ที่จะดูแลส่วนประสบการณ์ลูกค้าที่เป็นส่วนที่ต้องพบปะกับลูกค้า
Fintech Revolution กำลังนำมาซึ่งการปรับปรุงใหม่จำนวนมากหนึ่งในผลกระทบที่ใหญ่ที่สุดคือ “การเพิ่มโอกาสให้ผู้ที่มีรายได้ต่ำได้เข้าถึงบริการทางการเงินมากขึ้น”
ตอนนี้เรามีประชากรประมาณ 2 พันล้านคนที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการของธนาคาร
เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ที่เราสามารถทำให้บุคคลเหล่านี้สามารถเข้าถึงการบริการทางการเงินได้ ตามที่ธนาคารโลกได้กล่าวไว้นั้น ใน 5 ปีที่ผ่านมา มีประชากรที่ไม่มีบัญชีธนาคารจำนวน 700 ล้านคนที่สามารถเข้าถึงการบริการทางการเงินได้ และนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น อุตสาหกรรม fintech นั้นจะเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมการเงินอย่างต่อเนื่องและลูกค้าจะเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์มากที่สุด ไม่เพียงแต่จากประสบการณ์ผู้ใช้ที่สะดวกสบายมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการลดต้นทุนและการเข้าถึงทางการเงินที่มากขึ้นอีกด้วย
หุ่นพูดคุยแบบปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence Chatbots) กำลังถูกพัฒนาขึ้นเพื่อมาแทนศูนย์ให้บริการแสนน่าเบื่อ ข้อมูลไบโอเมตริกซ์และเครื่องมือจดจำเสียงกำลังได้รับการทดสอบเพื่อไม่เพียงแค่เป็นการนำมาแทนรหัสผ่าน แต่ยังรวมถึงการใช้รหัส 2 ปัจจัยที่ทางธนาคารกำลังใช้อยู่ด้วยเช่นกัน
หลายๆ คนกำลังเชื่อมต่อ Fintech เข้ากับ Internet of Things ลองนึกภาพประกันรถยนตร์ของคุณกำลังปรับลดเบี้ยประกันแบบอัตโนมัติเพราะรถของคุณทราบเองว่าคุณขับรถอย่างปลอดภัยแล้วจึงแจ้งข้อมูลนี้ให้กับผู้ให้ประกันได้รับทราบโดยอัตโนมัติ
ธนาคารกำลังตระหนักว่าภูมิทัศน์กำลังเปลี่ยนแปลงไปและพวกเขาต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด บางธนาคารจะประสบความสำเร็จในการวิวัฒนาการนี้ แต่ธนาคารอีกหลายแห่งจะไม่ประสบผลดังกล่าว และสิ่งนี้มีจะผลตามมาในภายหลัง ธนาคารซิตี้แบงก์คาดการณ์ว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า 30% ของงานในธนาคารจะหายไป ผู้เชี่ยวชาญบางคนได้ให้ตัวเลขนี้ไว้สูงถึง 50% สิ่งนี้จะมีผลกระทบทางการเงินอย่างรุนแรง ไม่เพียงแค่ผลกระทบโดยตรงจากการสูญเสียตำแหน่งงาน (30% ถึง 50%) แต่ทั้งหมดนี้ยังเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจรอบด้านตั้งแต่บริษัทกฎหมายไปจนถึงบริษัทบัญชี บริษัทการโรงแรม และร้านอาหาร
PWC ได้ทำการวิจัยว่าประมาณหนึ่งในสี่ของกระแสรายได้ของธนาคารจะได้รับผลกระทบ
ใช่แล้ว งานใหม่บางตำแหน่งจะถูกสร้างขึ้นในอุตสาหกรรม Fintech แต่จะมีจำนวนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับงานที่จะหายไปและงานเหล่านี้จะแตกต่างไปจากเดิมอย่างมากพร้อมกับความต้องการด้านทักษะที่แตกออกไปจากนายธนาคารแบบดั้งเดิม งานเหล่านี้เป็นงานประเภทโปรแกรมเมอร์ นักออกแบบความสร้างสรรค์ ที่ไม่ใช่สำหรับผู้ค้าขายหรือเจ้าหน้าที่ควบคุมกฎระเบียบ
แล้วในวันนี้เราต้องทำอะไรบ้าง
เราจำต้องปรับตัวให้เข้ากับระบบนิเวศใหม่อย่างรวดเร็ว เราจำต้องมีการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานในเรื่องของกระบวนความคิด ผู้ที่สามารถเปลี่ยนกระบวนความคิดได้ก่อนก็จะเป็นผู้ที่อยู่รอด
คนส่วนใหญ่คิดว่า Fintech คือเรื่องเกี่ยวกับการปฏิวัติวงการธนาคาร แต่เมื่อเร็วๆ นี้นั้น Fintech คือการนำเทคโนเลยีมาต่อยอดให้เกิดประโยชน์มากขึ้นแต่ก็อาจจะเป็นการปฏิวัติวงการทางการเงินในบางกรนี เหล่าธนาคารที่ชาญฉลาดจะเห็นสิ่งที่บริการแบบ Fintech กำลังเสนออยู่และนำสิ่งเหล่านี้เพื่อมารับมือกับจุดที่ยากลำบากที่พวกเขากำลังประสบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการรับลูกค้าใหม่ หรือเรื่องประสบการณ์ของผู้ใช้ หรือเรื่องการลดต้นทุน บางธนาคารจะอยู่ไม่ได้และมีเพียงผู้ที่ยอมรับเทคโนโลยีเท่านั้นที่จะประสบความสำเร็จในช่วงสองสามปีถัดจากนี้
จริงๆ แล้วทวีปเอเชียกำลังเป็นผู้นำในเรื่อง Fintech Revolution
สำหรับบุคคลทั่วไป ตอนนี้พ่อแม่มีความสะดวกใจมากขึ้นที่จะส่งลูกๆ ออกไปสร้างหรือทำงานที่ธุรกิจ Startup มากกว่าที่จะหาตำแหน่งที่มั่นคงในธนาคารแบบดั้งเดิม
โดยส่วนตัวผมคิดว่าการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดก็คือการที่เราจะฝึกอบรมคนรุ่นต่อไปอย่างไร หลักสูตร Fintech ควรจะถูกนำเสนอในระดับมหาวิทยาลัยเพราะผมมีความเชื่ออย่างลึกซึ้งว่าในปี 2017 นี้นั้นจะเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้อีกต่อไปถ้าเราปล่อยให้นักศึกษาจบการศึกษาในภาควิชาด้านการเงินโดยที่ไม่มีหลักสูตรเกี่ยวกับ Fintech เราจำเป็นต้องลงไปไกลกว่านั้น ใช่ครับ เรายังจำเป็นต้องสอนหลักสูตรหลักๆ เช่นเศรษฐศาสตร์ การเงินหรือบัญชีของบริษัท แต่เราก็ต้องปลูกฝังหลักสูตรการสอน Fintechในทุกหลักสูตรด้านการเงินใน Business School (MBA) หลักสูตรที่เกี่ยวกับการออกแบบ การเขียนโค้ด และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ นี่เป็นสิ่งที่สำคัญมากเพราะนายธนาคารแห่งอนาคตและเหล่าผู้ที่จะกำหนดอนาคตของอุตสาหกรรมจะไม่ใช่นายธนาคารแบบดั้งเดิมแต่จะเป็นนักออกแบบ นักเขียนโปรแกรม และนักคิดสร้างสรรค์แทน
เขียนโดย จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา
Expertise: Blockchain & FinTech
อ่านบทความ Exclusive เพิ่มเติมได้ที่นี่
Copyright © MarketingOops.com