ถ้าเราย้อนไปในในศตวรรษที่ผ่านมา นับตั้งแต่เริ่มการเปิดเผยทรัพย์สินและการสำรวจ “คนรวยทั่วโลก” ผลปรากฏว่า “ประเทศจีน” คือชาติแรกที่สามารถแซงหน้าสหรัฐอเมริกาไปได้ สำหรับการเป็นชาติที่มี “อภิมหาเศรษฐีระดับพันล้าน (Billionares) มีจำนวนเพิ่มมากที่สุดในโลก”
แม้ว่าในปี 2020 จะถือว่าเป็นปีแห่งวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ที่ทั่วโลกเผชิญหน้าร่วมกัน โดยเฉพาะการระบาดของโควิด-19 ที่ทำเศรษฐกิจทรุดหนักทั่วโลก แล้วยังทำลายภาคการท่องเที่ยว งานบริการ และอีกหลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง แต่ปรากฏว่า จีนกลับสวนกระแส เมื่อกลายเป็นประเทศที่ได้สร้างอภิมหาเศรษฐีเพิ่มมากที่สุดในโลกของปีนี้
สำหรับข้อมูลดังกล่าว มาจากรายงานจาก scmp และจากอีกหลายสำนักที่บอกเราว่าตั้งแต่ต้นปี 2020 ที่ผ่านมาจนถึงช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ พบว่าจำนวนของอภิมหาเศรษฐีระดับพันล้าน (Billionares) มีจำนวนเพิ่มมากที่สุดในประเทศจีน และยังมากที่สุดในโลกด้วย
อันที่จริงหากเราย้อนไปก่อนหน้านี้เมื่อปลายปี 2019 ก็เคยมีรายงานว่า มหานครเซี่ยงไฮ้ ได้ทำลายสถิติเดิมของมหานครนิวยอร์ก ด้วยการกลายเป็นเมืองใหญ่ที่มีอภิมหาเศรษฐีอาศัยอยู่มากที่สุดในโลกไปแล้ว หลังจากนิวยอร์กครองตำแหน่งที่ว่ามานานเกือบศตวรรษ
ส่วนในปีนี้ จำนวนของเหล่าบิลเลียนแนร์ในจีนก็เพิ่มมากที่สุด หากเทียบกับชาติอื่นๆ โดยหากย้อนไปในช่วงเดือนสิงหาคม 2020 ที่ผ่านมา จีนมี โคตรอภิมหาเศรษฐีในระดับบิลเลียนแนร์เข้ามาเพิ่มถึง 251 คน ซึ่งหากรวมกับของเดิมที่มีอยู่ 621 คน ก็ทำให้จีนมีคนรวยระดับพันล้านเหรียญสหรัฐ อาศัยอยู่มากถึง 878 คน เท่ากับว่าเป็นการเพิ่มจำนวนของอภิมหาเศรษฐีมากที่สุดในโลกเวลานี้ไปด้วย
แล้วที่น่าทึ่งคือ หากย้อนไปในปี 1999 จีนไม่มีคนที่มีทรัพย์สินระดับพันล้านเหรียญ หรือระดับมิลเลียนแนร์เลย “แม้แต่คนเดียว”
ซึ่งก็มีการวิเคราะห์ว่า สาเหตุที่จีนสร้างปรากฏการณ์น่าเหลือเชื่อขึ้นมาได้นั้น แน่นอนว่า มันมาจากหลายปัจจัยรวมกัน ไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่ต้องใช้เวลาสะสมมานานหลายสิบปี มาดูว่ามีอะไรบ้าง
1.การสร้างไอดอลให้คนรุ่นใหม่
แน่นอนว่าทุกคนชื่นชมคนมีชื่อเสียง คนเก่ง กันเป็นเรื่องปกติ แล้วก็มองพวกเขาเหล่านั้นเป็นเสมือนกับ “ไอดอล”
แม้ว่าทุกคนอยากประสบความสำเร็จ แต่ทุกคนต้อง แรงบันดาลใจ หรือคนที่เป็นต้นแบบ ที่แสดงให้เห็นว่า พวกเขาเองก็ประสบความสำเร็จในการทำงาน การทำธุรกิจ มีชื่อเสียงและร่ำรวยขึ้นมาได้
แต่การจะทำให้คนมีแรงบันดาลใจ บางครั้งก็ต้องสร้างไอดอลขึ้นมา ซึ่งกรณีของวงการธุรกิจจีนหนึ่งใน ไอดอลที่เป็นอภิมหาเศรษฐีพันล้านของคนจีนก็นำโดย แจ็ค หม่า ผู้ก่อตั้งอาลีบาบา และ หม่า ฮั่วเถิ่ง ผู้ก่อตั้ง เท็นเซ็นต์ สองยักษ์ใหญ่ด้านไอทีและอีคอมเมิร์ซของจีน ซึ่งความสำเร็จของพกเขา ส่วนหนึ่งมาจากการผลักดันของรัฐบาลจีนด้วย
2.ธุรกิจระดับ Mass
เนื่องจากจีนมีแนวคิดการขายและการทำธุรกิจประเภทที่ ไม่ต้องมีมูลค่าต่อหน่วยสูง แต่เน้นปริมาณมาก เพียงเท่านั้นก็ทำเงินได้แล้ว เพราะจีนมีประชากรถึงหลัก 1.4 พันล้านคน ขอเพียงขายสิ่งของที่คนจำเป็นต้องใช้เป็นประจำได้ไม่กี่มณฑล ก็สร้างตัวขึ้นมาได้ในระดับหนึ่ง
ไม่ต้องแปลกใจว่า ทำไม อาลีบาบา จึงกลายเป็นบริษัทใหญ่อันดับต้นๆของจีนและของโลก เพราะการสร้างช่องทางอีคอมเมิร์ซที่จะสามารถขายของให้คนจีนทั่วประเทศได้ และในขณะเดียวกัน สินค้าจีนที่มีมูลค่าแบรนด์สูงอันดับต้นๆของโลกจึงเป็น สุราเหมาไถ เพราะเพียงแค่ขายในประเทศ แล้วสินค้ามีมูลค่าสูงในระดับหนึ่งก็เพียงพอแล้ว
3.ต่อยอดนวัตกรรม
ด้วยความที่จีนเน้นการผลิตเพื่อปริมาณมากใช้ในประเทศเป็นหลักก่อน ดังนั้นในช่วงสร้างตัว จีนไม่จำเป็นต้องสร้างสรรค์นวัตกรรมและเทคโนโลยีขึ้นมาใหม่ แต่อาศัยการก็อปปี้ แล้วนำมาประยุกต์ต่อยอดให้เข้ากับการใช้งานของคนจีนในประเทศอีกทอดหนึ่ง แม้ว่ามันจะกลายเป็นปัญหาอย่างรุนแรงในระยะแรกที่ทำให้แบรนด์จีนขาดความน่าเชื่อถือก็ตามที
แต่ด้วยการเรียนรู้ แก้ไข ปรับปรุง แล้วต่อยอดนวัตกรรม ก็ทำให้บริษัทอย่าง Bytedance สามารถสร้างสรรค์ Tiktok ที่จับตลาดจีนและโลกได้สำเร็จอย่างม่น่าเชื่อ ที่สำคัญคือ มันสามารถเชื่อมโยงกับชีวิตผู้คนอย่างใกล้ชิดได้ โดยเฉพาะในแง่ของการใช้งานที่ง่าย เข้าถึงสะดวก จากการที่เน้นให้แพลทฟอร์มทำมาสำหรับคลิปสั้นและบันเทิง มากกว่าจะเป็นคลิปขนาดยาว ซึ่งถือว่าเป็นการเข้าถึงพฤติกรรมผู้ใช้งานที่ทำให้หลายแพลทฟอร์มเองก็ต้องศึกษาไม่น้อยเลย
เขียนโดย อิทธิชัย อรรถกระวีสุนทร
Expertise: China Marketing
อ่านบทความ Exclusive เพิ่มเติมได้ที่นี่
Copyright © MarketingOops.com
