สวัสดีครับ ในตอนที่แล้วเราได้อธิบายเรื่องของบิทคอยน์และเทคโนโลยีกันไปเรียบร้อยแล้ว และตามที่ได้สัญญากันไว้จากบทความก่อน ในครั้งนี้เราจะมาอธิบายกันว่า บิทคอยน์และบล็อกเชน มีประโยชน์อย่างไรบ้าง? และสามารถเข้ามาเปลี่ยนแปลงโลกของเราได้อย่างไรครับ
บิทคอยน์คือสิ่งที่ได้รับการขนานนามว่า “เงิน 2.0” เนื่องจากบิทคอยน์เป็นเงินในระบบ peer to peer แบบอิเล็กทรอนิกส์อย่างแท้จริง ซึ่งทำให้การทำธุรกรรมทางการเงินเกิดขึ้นได้โดยมีค่าธรรมเนียมที่ต่ำมากๆ ปัจจุบันมีการใช้บิทคอยน์กันอย่างแพร่หลายครับ ทั้งเพื่อการโอนเงิน การลงทุน หรือการรับชำระเงินออนไลน์ โดยหลังจากที่บิทคอยน์เกิดขึ้น ก็มีสกุลเงินดิจิตอลกว่า 600+ สกุลเกิดขึ้นตามมา แต่บิทคอยน์ยังคงได้รับความนิยมสูงสุด โดยในเดือนมิถุนายน 2016 มีมูลค่าตลาดได้เกิน 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐไปแล้วครับ
อ้างอิงจาก 2014 Global Findex โลกของเรามีประชากรที่ไม่มีบัญชีธนาคารกว่า 2 พันล้านคนเลยครับ เมื่อเรามามองที่ประเทศที่กำลังพัฒนา ซึ่งในกลุ่มนี้มีสัดส่วนประชากรที่มีรายได้ต่ำคิดเป็น 40% ของประชากรทั้งหมด กว่า 50% ของประชากรผู้ใหญ่ที่รายได้ต่ำนี้ไม่มีบัญชีธนาคาร ซึ่งคนกลุ่มนี้ไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้ หมายความว่า พวกเขาไม่สามารถกู้เงินทำธุรกิจ ขอสินเชื่อกรณีฉุกเฉิน หรือขอสินเชื่อเพื่อซื้อบ้านซื้อรถได้ ซึ่งสิ่งที่จะเข้ามาช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของพวกเขาได้ก็คือ บิทคอยน์ นี่แหละครับ
ลองคิดดูว่า บิทคอยน์ ทำให้ผู้คนเหล่านี้สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้ เพียงแค่มีโทรศัพท์มือถือและอินเตอร์เน็ต แล้วเขาจะสามารถทำได้แค่รับส่งเงินหรือเปล่า? ที่จริงแล้วการที่เขามีกระเป๋าสตางค์บิทคอยน์ทำให้เขาสามารถเก็บเงินไว้ได้โดยไม่มีค่าธรรมเนียม สามารถส่งและรับเงินได้ รวมไปถึงการมีประวัติการทำธุรกรรมเพื่อที่จะสามารถไปยื่นกับธนาคาร ในการขอเงินกู้หรือสินเชื่อได้อีกด้วยครับ ทำให้คนเหล่านี้มีโอกาสทางการเงินและธุรกิจเพิ่มขึ้นไปมากกว่าที่เขาเคยเป็น
นอกจากนี้ ด้วยบิทคอยน์ คนเหล่านี้สามารถโอนและรับเงินได้จากทั่วโลก ซึ่งเท่ากับว่า พวกเขารับงานจากที่ใดก็ได้บนโลกนี้ เป็นการเปิดตลาดแรงงานให้กว้างขึ้น เพื่อโอกาสในการหารายได้ที่มากขึ้น บริษัทและผู้คนจากทั่วโลกก็สามารถหาแรงงานที่มีคุณภาพจากประชากรในประเทศเหล่านี้ได้อีกด้วยครับ
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ได้เกิดขึ้นจริงแล้ว ด้วยการใช้บริการกระเป๋าเงินมือถือ เช่น แอฟริกา ในแถบ Sub-Saharan มากกว่า 10% มีการใช้กระเป๋าเงินมือถือกันแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศเคนย่า ซึ่งมีสัดส่วนของประชากรที่มีบัญชีกระเป๋าเงินมือถือถึง 58% โดยมีผู้ให้บริการรายใหญ่ชื่อ M-Pesa ที่มีการให้บริการนี้ และมีมูลค่าการใช้คิดเป็น 30% ของ GDP ของประเทศเคนย่าเลยทีเดียวครับ ซึ่ง M-Pesa นี้ก็รับบิทคอยน์ด้วยนะครับ
ซึ่งข้อดีของบิทคอยน์ที่ต่างจากการโอนเงินแบบอื่นๆ อีกอย่างหนึ่งก็คือ สามารถแบ่งออกได้เป็น 8 ทศนิยม เช่นตอนนี้ราคาของบิทคอยน์ประมาณ 25000 บาทต่อหนึ่งบิทคอยน์ แต่เราสามารถโอนเงินได้ด้วยจำนวนต่ำสุดที่ 0.00000001 เท่านั้น ซึ่งหมายความว่าเราจะสามารถชำระเงินหรือโอนเงินด้วยจำนวนน้อยแค่ไหนก็ได้และโอนไปที่ไหนก็ได้ คิดภาพง่ายๆ คือ นี่เป็นครั้งแรกที่เราจะสามารถโอนเงินจากประเทศไทยไปให้ที่แอฟฟริกา เพียง 20 บาทได้ เพราะไม่ต้องกังวลเรื่องข้อจำกัดด้านค่าธรรมเนียมอย่างที่เคยครับ ผู้คนจะสามารถมีวิธีการชำระเงินได้อย่างปลอดภัย สะดวก และรวดเร็วกว่าที่เคยมีมา
ลองคิดภาพดูนะครับว่า หากประชากรกว่า 2 พันล้านคนทั่วโลก เข้ามาอยู่ในระบบเดียวกัน คุณภาพชีวิตของพวกเขาจะดีขึ้นได้มากขนาดไหน อีกทั้งค่าธรรมเนียมที่เคยต้องเสียไปให้กับการทำธุรกรรมหรือตัวกลางทั้งหลายจะกลับเข้ามาหมุนเวียนในระบบ ซึ่งจะส่งผลอย่างมีนัยยะสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของโลกนี้แน่นอนครับ
นี่เป็นแค่หนึ่งตัวอย่างของประโยชน์ที่บิทคอยน์และบล็อคเชนสามารถสร้างให้กับประชากรในโลกนี้ได้และก็ได้เกิดขึ้นจริงแล้ว ในครั้งต่อไปผมจะมาพูดถึงประโยชน์ในมุมมองอื่นๆ โดยเฉพาะกับคนไทยแบบเราทุกคนนี่แหละครับ
เขียนโดย จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา
Expertise: Blockchain & FinTech
อ่านบทความ Exclusive เพิ่มเติมได้ที่นี่
Copyright © MarketingOops.com