แม้จะผ่านมาครึ่งปีแล้วสำหรับ ปี 2019 นี้ คนที่กำลังลงทุนหรืออยากลงทุนในบิทคอยน์แต่ยังตัดสินใจไม่ได้สักที นี่จะเป็นบทความที่จะเพิ่มความมั่นใจให้กับคุณ!
- ปัจจุบันบริการบิทคอยน์ด์เอทีเอ็มถูกติดตั้งครอบคลุมกว้างขึ้น
จากรายงานระบุว่าปี 2019 จะเป็นปีที่บิทคอยน์เอทีเอ็มทะยานไปสู่เมืองต่างๆ ทั่วทั้งสหรัฐอเมริกา
โดยไม่นานมานี้เอทีเอ็มบิทคอยน์กว่า 30 เครื่องนั้นถูกติดตั้งเพิ่มขึ้นทั่วเมืองชิคาโก ทำให้ปัจจุบันจำนวนบิทคอยน์เอทีเอ็มทั่วทั้งชิคาโกมีจำนวนเกือบ 100 เครื่อง ในขณะที่เมืองฟิลาเดเฟียเองก็ถูกติดตั้งบิทคอยน์เอทีเอ็มเพิ่มขึ้นในจำนวนพอๆ กัน
โดยทั่วไปแล้วบิทคอยน์เอทีเอ็มทำหน้าที่ในการจับจ่ายใช้สอยบิทคอยน์เท่านั้น แต่ก็มี ATMs ในนิวยอร์กที่สามารถจำหน่ายสกุลเงินบิทคอยน์แก่ลูกค้าได้เช่นกัน
โดยคนที่สนใจสามารถทำการเปิดบัญชีกับผู้จำหน่ายบิทคอยน์ LibertyX หลังจากนั้นจะสามารถซื้อบิทคอยน์ที่มีมูลค่าถึง 3,000 เหรียญต่อวันโดยการใช้เพียงเดบิตการ์ดที่เปิดบัญชีกับ LIbertyX ที่เครื่องเอทีเอ็มได้โดยตรง
เครื่องเอทีเอ็มเหล่านี้จะสามารถสร้างแรงกระตุ้นให้คนมาสนใจและใช้งานบิทคอยน์มากขึ้นกว่าแต่ก่อน ไม่ใช่เพียงแค่ซื้อบิทคอยน์และเก็บไว้ เท่านั้น เนื่องจากโดยทั่วไปแล้วนั้น ผู้คนต่างก็คุ้นเคยกับการใช้เครื่องเอทีเอ็มในการทำธุรกรรมต่างๆอยู่แล้ว ดังนั้นมันไม่ยากเกินไปสำหรับผู้คนที่จะหันมาใช้บิทคอยน์ผ่านเครื่องเอทีเอ็มเช่นกัน
สำหรับในประเทศไทยเอง ในปัจจุบันประเทศไทยมีเอทีเอ็มบิทคอยน์อยู่ 4 เครื่องด้วยกัน (เชียงใหม่ ภูเก็ต และ อีก 2 เครื่องในกรุงเทพฯ)
ขณะที่จากข้อมูลทางสถิติทั้งหมดทั่วโลก ปัจจุบันมี 4 ประเทศหลักๆ ที่มีบิทคอยน์เอทีเอ็มจำนวนมากในประเทศ ได้แก่
- สหรัฐอเมริกา (3,218 เครื่อง)
- แคนาดา(687 เครื่อง)
- ออสเตรเลีย(267 เครื่อง)
- และสหราชอาณาจักร(249 เครื่อง)
นอกจากนี้ยังมีอีกกว่า 12 ประเทศทั่วโลกที่มีเอทีเอ็มบิทคอยน์ตั้งอยู่ มากกว่า 30 แห่ง
ดังนั้นประเทศไทยก็มีความเป็นไปได้ที่จะตามการเติบโตของบิทคอยน์ผ่านรูปแบบเดียวกับหลายๆ ประเทศเช่นกัน ถ้ามีคนใช้งานบิทคอยน์มากขึ้น ตลาดก็จะมีการเติบโตและส่งผลในทางที่ดีกับนักลงทุนบิทคอยน์ทั่วโลก
- บิทคอยน์และสกุลเงินดิจิตอลมีส่วนร่วมกับธนาคารกลางมากขึ้น
สิ่งนึงที่ทำให้ผู้คนชื่นชอบบิทคอยน์คือคุณไม่จำเป็นต้องมีบัญชีธนาคารในการใช้งานหรือซื้อขายบิทคอยน์ แต่อย่างไรก็ตาม เทรนด์ในปี 2019 นั้น ธนาคารกลางเริ่มที่จะสนับสนุนสกุลเงินดิจิตอลด้วยการใช้ทองคำสำรองในการสนับสนุนผ่านการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินดิจิตอล
นอกจากนี้ระหว่างการนำเสนอที่งานประชุมสุดยอดบิทคอยน์ที่จัดขึ้นครั้งแรกในอิสราเอล นิค ซาโบ(Nick Szabo) ผู้บุกเบิกบิทคอยน์ได้สรุปเหตุผลว่าทำไมเขาถึงคาดการณ์ว่าหลายๆประเทศจะเริ่มใช้สกุลเงินดิจิตอล โดยเฉพาะในสถานที่ที่มีความขัดแย้งหรือขาดการจัดการระบบทางการเงินที่ดี
และในปี 2018 คริสตีน ลาการ์ด กรรมการผู้จัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้อธิบายไว้ว่าทำไมธนาคารกลางควรสนับสนุนเงินดิจิตอลเช่นกัน แม้เทรนด์นี้จะไม่ได้ปรับตัวเต็มที่ในปี 2019 แต่มันกลายเป็นหลักฐานและเหตุผลมากพอที่ธนาคารกลางไม่ควรเพิกเฉยต่อบิทคอยน์หรือเงินดิจิตอลที่จะกลายเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ซึ่งปัจจบัน ประเทศจีนก็ยอมรับให้ประชาชนสามารถเทรดเหรียญคริปโตได้ หรืออย่างเดนมาร์กที่ปฏิบัติกับเหรียญคริปโตเหมือนสกุลเงินอื่นๆ และยังมีอีกหลายประเทศที่ให้การยอมรับ และเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อเหรียญคริปโตมากขึ้น
- การผลักดันบิทคอยน์สู่ศูนย์กลางการท่องเที่ยว
ในอดีตคงมีคนเคยได้ยินเรื่องเล่าอันโด่งดัง เรื่องมีคนใช้บิทคอยน์ซื้อพิซซ่า 2 ถาด ด้วยราคาถึง 10,000 BTC ด้วยกัน ในเดือนพฤษภาคม ปี 2013 เหตุการณ์นั้นถือเป็นครั้งแรกที่มีคนใช้บิตคอยน์เป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้า
และสำหรับเทรนด์ปัจจุบันนั้น ได้มีการพัฒนาและปรับใช้บิตคอยน์ในฐานะของตัวกลางในการแลกเปลี่ยนแตกแขนงออกมาหลากหลายวิธีด้วยกัน
ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการสร้างแรงกระตุ้นให้บริษัท ร้านค้า และสถานที่ในระแวกต่างๆ เปิดให้นักท่องเที่ยวใช้บิทคอยน์ในการใช้จ่ายและชำระค่าบริการต่างๆ ได้ โดยมีนาคม ปี 2018 คณะกรรมการการท่องเที่ยวเยอรมันนี ก็ได้เริ่มต้นรับบิทคอยน์เข้ามาใช้ในบริการต่างๆแล้ว ในขณะนั้นเองเมืองชายหาดของออสเตรเลียที่ตั้งอยู่ใน Central Queensland ก็ได้กลายเป็นเมืองแรกที่ถูกยอมรับว่าเป็นมิตรกับสกุลเงินดิจิตอลและนักท่องเที่ยว เนื่องจากมีร้านค้าหลายเจ้าที่เปิดรับการชำระเงินด้วยเงินดิจิตัลกันอย่างแพร่หลายนั่นเอง
หรือแม้แต่ข้อมูลล่าสุดอย่างประเทศรัสเซียได้ปล่อ “Blockchain-enabled toursim platform” ที่เป็นระบบยืนยันความถูกต้องและโปร่งใส โดยการติดตามและบันทึกข้อมูลการทำธุรกรรม การใช้จ่ายและการลงทุน รวมไปถึงสนับสนุนปัจจัยต่างๆ ที่มีความเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยว เช่นการบริการ การเดินทาง การอำนวยความสะดวก อาหาร รวมถึงนักลงทุนและนักท่องเที่ยว
ซึ่งปกติเวลาที่นักท่องเที่ยวเดินทางไปในที่ต่างๆ สิ่งหนึ่งที่ผู้คนมักจะทำคือการแลกเปลี่ยนเงินตรา ถ้าเทรนด์นี้ยังคงเติบโตต่อไป นักท่องเที่ยวจะไม่มีความจำเป็นต้องแลกเปลี่ยนเงินตราและใช้เพียงเงินดิจิตัลเท่านั้นในการท่องเที่ยว ซึ่งมีความสะดวกสบายกว่ามากในหลายๆ แง่มุม
- การเกิดขึ้นของสมาร์ทโฟนที่สามารถเก็บเงินดิจิตอลได้
ปฏิเสธไม่ได้เลย ว่าปัจจุบันผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนมีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยหนึ่งในแผนสำหรับอนาคตที่เหล่าแบรนด์สมาร์ทโฟนต่างๆ มีการพูด “เกริ่น” ไว้คือ การจะทำสมาร์ทโฟนที่มาพร้อมกับดิจิตอลวอลเล็ท สำหรับเก็บบิทคอยน์และสกุลเงินดิจิตอลอื่นๆ
โดยในช่างปลายปี 2018 ที่ผ่านมานี้ HTC ได้ปล่อยสมาร์ทโฟนรุ่น HTC Exodus 1 ซึ่งเป็นสมาร์ทโฟนที่มาพร้อมดิจิตอลวอลเล็ท และสามารถซื้อได้ด้วยสกุลเงิน Bitcoin และ Ethereum เท่านั้น (โดยมีราคาเปิดตัวอยู่ที่เครื่องละ $699) และยังสามารถทำยอดขายได้เป็นที่น่าพึงพอใจในสายตา HTC
นอกจากนี้ทางบริษัทยัง ประกาศอีกด้วยว่า จะมีการเปิดตัว HTC Exodus 2 ก่อนสิ้นปี 2019 นี้ โดยรุ่นถัดไปนี้จะเพิ่มอิสระในการทำงานได้มากขึ้น เนื่องจากจะมีการปรับใช้บล็อกเชนให้มีส่วนร่วมในระบบมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นท่องเว็บไซต์ต่างๆ การส่งข้อความ หรือแม้กระทั่งการใช้งานเครือข่ายสังคมออนไลน์
และที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือ ณ ปัจจุบันขณะ แม้แต่ Samsung Galaxy S10 ก็ยังมีคริปโตวอลเล็ทติดมากับเครื่องด้วย ซึ่งวอลเล็ตนี้สามารถจัดเก็บเหรียญได้หลายชนิด อาทิ บิทคอยน์ อีเทอเรียม และคอสโมคอยน์
แถมเป็น cold storage wallet อีกด้วย แปลว่าไม่จำเป็นต้องใช้อินเทอร์เน็ตในการใช้งาน จะเห็นได้ว่าแม้แต่ค่ายยักษ์ใหญ่อย่าง Samsung ยังเข้ามามีบทบาทในโลกคริปโต นี่อาจะจะเป็นก้าวสำคัญของโลก Digital Currency ก็เป็นได้
เขียนโดย จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา
Expertise: Blockchain & FinTech
อ่านบทความ Exclusive เพิ่มเติมได้ที่นี่