ทุกบริษัทเห็นตรงกันว่าสิ่งที่ลูกค้าพูดเกี่ยวกับพวกเขาคือการตลาดชั้นเยี่ยม
ยุคนี้จึงเป็นยุคที่แบรนด์พูดอะไรไม่ค่อยมีคนเชื่อมากยิ่งกว่ายุคก่อนๆ เพราะเดี๋ยวนี้มี onlineinfluencers เข้ามามีบทบาทสำคัญทำให้ผู้ใช้เชื่อถือ ข้อดีของ online influencers เหล่านี้คือผู้ใช้คิดว่าพวกเขาไม่มีอคติและพวกเขามีความเป็นมืออาชีพมากในสาขานั้นๆ
ปัจจัยที่ทำให้เราสามารถ “มีอำนาจจากผู้บริโภค”
โจทย์ใหม่ของทุกวันนี้คือจะทำอย่างไรให้ผู้บริโภคที่ใช้ผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณมีเสียงพูดดังออกมาในวงสนทนาสาธารณะ การสำรวจทุกสำนักระบุตรงกันว่าความคิดเห็นของผู้บริโภคเกี่ยวกับแบรนด์กระทบต่อพฤติกรรมการซื้อไม่ว่าผู้พูดจะมีความเกี่ยวพันโดยตรงกับแบรนด์หรือไม่ สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดคือการนำเอาผู้บริโภคที่ชื่นชอบแบรนด์ของเราออกมาให้สาธารณะเห็นและสนใจ จากนั้นเขาจะกลายเป็น influencers ที่มี royalty กับแบรนด์ของเรา แหม่ เป็น win-win situation เลยทีเดียว
วิธีการที่ง่ายที่สุดคือหลังจากคุณปล่อยแคมเปญหรืออีเวนท์บางอย่างออกไปให้จับตาดูว่าใครที่มี “ศักยภาพ” จะสามารถขึ้นมาเป็นผู้นำทางความคิดได้บ้าง จับตาดูพวกเขาจากนั้นก็ติดต่อเพื่อขอร่วมงานกับพวกเขาโดยตรง ทั้งแบรนด์และ influencers จะร่วมมือกันสร้างชื่อเสียงให้กันและกันอย่างชาญฉลาด อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ในลักษณะนี้คุณก็ต้องยอมรับว่าหาก influencers ที่คุณสร้างมาเริ่มติดลมบนติดตลาดแล้ว พวกเขาก็อาจ “ปันใจ” ไปให้คนอื่นได้ ตรงนี้ก็ต้องมีการตกลงกันให้ชัดเจนเสียก่อน
McKinsey ระบุใน point of view on innovation ตอนหนึ่งว่า
ลูกค้าได้รับอำนาจจากเครื่องมือทางดิจิตอลทำให้สามารถเข้าถึงรีวิวจากเพื่อนๆ เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และบริการได้อย่างง่ายดาย คนยุคนี้จึงสามารถเลือกซื้อสินค้าได้ตรงความต้องการของตนเองมากยิ่งขึ้น ต้นทุนในการเปลี่ยนทางเลือกมีต่ำ ที่สำคัญ ผู้บริโภคที่เป็นเชิงรับในอดีตกลายเป็นผู้บริโภคที่กล้าพูดความต้องการของตัวเองและแสดงความคิดอย่างไม่เกรงกลัว ดังนั้น หากคุณพยายามยัดเยียดความคิดบางอย่างเพื่อสร้าง loyalty มากๆ มันอาจให้ผลตรงข้ามเป็นว่าคุณพยายามจะล้างสมองพวกเขาอยู่
มากกว่านั้นแล้ว ผู้บริโภคยุคปัจจุบันไม่ชอบความรู้สึกว่าตัวเองไม่มีใครเหลียวแล การขอความร่วมมือทั้งในการทดลองหรือกิจกรรมต่างๆ จะทำให้พวกเขารู้สึกเข้าถึงแบรนด์ได้ดียิ่งขึ้น