เราจะใช้ “จิตวิทยา” ทำโฆษณาขายของ ทุบยอดขายกระจายได้อย่างไร?

  • 2.1K
  •  
  •  
  •  
  •  

ทำโฆษณาขายของไม่ใช่เรื่องยาก แต่หากพลาดจุดสำคัญโดยเฉพาะการวางองค์ประกอบกับการเขียนคำโฆษณาเพียงนิดเดียว ยอดขายที่จะได้ต้องหายไปกับตา เรารวม 20 เทคนิคเบสิคตามหลักจิตวิทยา ให้ SMEs และ Startups เอาไปใช้ทำโฆษณาบน Facebook และสื่อต่างๆให้ได้ผล

 

1. วางรูปและกราฟฟิคไว้ทางซ้าย

เพราะสมองซีกขวารับรู้ “ภาพ” ผ่านตาซ้าย สมองซีกซ้ายรับรู้ “ตัวอักษร” ผ่านตาขวา หากวางรูปทางขวาแล้ววางข้อความไว้ทางซ้ายจะขัดธรรมชาติการรับรู้ของสมอง ฉะนั้นควรวางรูปไว้ทางซ้ายของโฆษณา จะทำให้สมองรับความหมายได้เร็วกว่า

ad-tactic1

2. วางสินค้าให้ดูแล้วคุ้นตา

อย่าได้ละเลยการวางรูปสินค้า เพราะการจัดวางสินค้าควรให้ความรู้สึกที่หยิบใช้ง่ายถนัดมือ เหมือนกำลังจะได้ใช้งานสินค้าตัวนั้นไปแล้ว (ในใจ) ก่อนที่จะได้ซื้อแล้วเอาไปใช้จริงๆ

ad-tactic2

3. วางรูปภาพให้นำสายตาไปทางเนื้อหา

นิสัยของมนุษย์แต่เกิดอย่างหนึ่งก็คือ จะมองในสิ่งที่คนอื่นกำลังมองอยู่ เพราะนิสัยนี้ทำให้บรรพบุรุษเอาตัวรอดจากอันตรายได้ นิสัยนี้อยู่ในส่วนของสมองที่เรียกว่า Amyglada อยู่แล้ว ถ้าเราใช้รูปคนหรือสิ่งมีชีวิตมองไปทางคอนเทนต์ที่ต้องการเน้น ก็จะทำให้กลุ่มเป้าหมายสนใจคอนเทนต์ของเราได้ดี

ad-tactic3

4. ขยายคำที่เน้นอารมณ์ความรู้สึก

เหตุผลง่ายๆคือ ยิ่งดูใหญ่ สมองก็จะตีความว่าอาจจะเป็นภัยต้องสนใจต้องระวังขึ้นมา หากขยายคำที่เน้นอารมณ์ความรู้สึก เราก็สื่อความรู้สึกที่ต้องการสื่อให้กลุ่มเป้าหมายได้ดีขึ้น ดึงความสนใจได้ง่ายขึ้น

ad-tactic5

5. พูดถึงฟีเจอร์หรือคุณสมบัติได้ แต่อย่าเสียเวลาอธิบายว่าใช้มันอย่างไร

ปรกติถ้าเราลองลิสต์รายการฟีเจอร์ของสินค้าให้เห็นเยอะๆ ลูกค้าก็ยิ่งชอบ (ถ้าฟีเจอร์นั้นมันมีประโยชน์) แต่การทำแบบนั้นก็เป็นเหมือนดาบสองคม ถ้าลูกค้าไม่รู้ว่าฟีเจอร์บางตัวใช้อย่างไร รายการฟีเจอร์ยาวเหยียดจะทำให้สินค้าน่าเบื่อทันที ฉะนั้นอย่าเสียเวลาอธิบายว่าใช้มันอย่างไร หันมาบอกฟีเจอร์เด่นๆที่อ่านแล้วรู้เลยว่าใช้งานอย่างไรดีกว่า

ad-tactic6

6. อย่าใช้ภาษาลองเชิงกับของกินของใช้ที่ลูกค้าชอบ

ถ้ากลุ่มลุกค้าเป้าหมายอ่านโฆษณาของเราแล้วรู้ว่าเรา “พยายาม” โน้มน้าวใจ ลูกค้าจะรู้สึกต่อต้าน แต่ถ้าเราใช้ภาษาที่แสดงถึงการลงมือทำที่ยืนยันหนักแน่นกับของกินของใช้ที่ทำให้เราอารมณ์ดี ลูกค้าจะไม่รู้สึกต่อต้านโฆษณาตัวนั้น แต่กลับรู้สึกชอบสินค้า และอยากซื้อมากินมาใช้มากกว่า

ad-tactic7

7. ใช้คำเชิญชวนให้คล้องจองและมีจังหวะ

เทคนิคนี้จะให้ผลคล้ายเทคนิคที่แล้ว แต่เทคนิคนี้ใช้ได้กับสินค้าทุกประเภท ใช้คำเชิญชวนให้คล้องจองและมีจังหวะจะทำให้ข้อความโฆษณาฟังดูน่าเชื่อถือเป็นความจริง ชอบสินค้าตัวนั้นมากขึ้น น่าซื้อมาใช้ในที่สุด

ad-tactic8

8. วางชื่อแบรนด์หรือโลโก้ไว้ขวามือ

ถ้าเราวางรูปที่ใช้พื้นที่โฆษณาเยอะไว้ทางซ้ายตามเทคนิคแรก เราก็ต้องวางแบรนด์ไว้ทางขวา เพราะตามสมมติฐานจิตวิทยา Matching Activation Hypothesis สมองซีกที่ทำงานน้อยกว่าจะรับรู้ข้อมูลในระดับจิตใต้สำนึกได้ ฉะนั้นเวลาเห็นโฆษณา สมองซีกซ้ายที่ใช้ตาขวารับข้อมูลจะทำงานน้อยกว่า การวางแบรนด์ไว้ทางขวาทำให้กลุ่มเป้าหมายจำแบรนด์ได้แบบไม่รู้ตัว

ad-tactic9

9. อย่ากลัวที่จะขยายชื่อแบรนด์หรือโลโก้

นักโฆษณาบางคนแนะนำว่าถ้าเราไม่ลดขนาดของแบรนด์บนโฆษณาลง โฆษณาจะดูขายของและไม่น่าสนใจ แต่นั่นไม่จริงเลย เพราะจากงานวิจัยของ Pieters และ Wedel ในปี 2004 ขนาดของแบรนด์ไม่ได้ทำให้คนสนใจโฆษณามากขึ้นหรือน้อยลงเลย และในปี 2000 ก็เคยพบมาก่อนว่า ตัวโลโก้ก็ดึงดูดสายตาคนดูได้อยู่ ถึงแม้จะน้อยกว่า 3 วินาทีก็ตามแต่ก็นานพอแล้ว

ad-tactic10

10. ใช้ฟอนต์ผอมเพรียวเพื่อสื่อถึงความสวย

ฟอนต์ผอมยาวจะสื่อถึงความละเอียดอ่อน ความอ่อนโยน และดูเป็นผู้หญิงมากกว่าฟอนต์ตัวหนาที่ดูเข้มแข็ง ก้าวร้าวและเป็นชายมากกว่า เพราะปรกติคนสวยในสายตาเรามักจะผอมเพรียว ทำให้คนสวยกับฟอนต์ที่ผอมเพรียวเชื่อมโยงกันในความทรงจำในสมอง และถ้าเราไปเห็นอะไรที่ผอม รอยยิ้ม หรือสูง เราก็จะนึกถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความสวยในสมองของเราด้วย

ad-tactic11

11. ทำให้สินค้าแตกต่างจากคนอื่นด้วยฟอนต์ที่ไม่เหมือนใคร

ถ้าสินค้าของเรามันมีเอกลักษณ์ มันโดดเด่น ก็ต้องใช้ฟอนต์เป็นเอกลักษณ์ด้วย! (บางธุรกิจยอมจ้างออกแบบฟอนต์ของตัวเอง) คนถึงจะจำรายละเอียดของโฆษณาได้ดีขึ้น (แต่ฟอนต์ต้องอ่านออกนะ) เพราะการใช้ฟอนต์ธรรมดาหมายถึงสินค้าที่เราขายมันธรรมดามีขายทั่วไป

ad-tactic12

12. ใช้สีแดงเพื่อบอกว่าห้ามทำหรืออย่าทำ

นักจิตวิทยาสีเชื่อว่าสีมีผลต่อความคิดและการกระทำ สีจึงสะท้อนประสบการณ์ที่ผ่านมาของแต่ละคน เช่นเรามักจะระวังตัวเองจากอันตรายหรือความผิดพลาดเมื่อเห็นสีแดง ทำให้สีแดงสื่อถึงอันตราย คนก็จะสังเกตเห็นปัญหาได้เร็วกว่าสีอื่นๆ ฉะนั้นถ้าเราอยากให้ผู้บริโภครู้ว่าสินค้าของเราแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง เราควรจะให้พื้นหลังหรือฟอนต์สีแดง

ad-tactic14

13. ใช้สีน้ำเงินเพื่อบอกว่าสินค้าเราให้ประโยชน์อะไรบ้าง

สีน้ำเงินเป็นสีที่แสดงถึงความเปิดกว้าง ความสงบ เป็นสีที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราได้ประโยชน์อะไรสักอย่าง ต่างจากสีแดงที่เราต้องป้องกันระวังภัย

ad-tactic15

14. ลดระดับสีของภาพเพื่อเน้นคอนเทนต์

นักโฆษณาบางคนบอกไว้ว่าการใช้สีดีกว่าการใช้ขาวดำ แต่ไม่แน่เสมอไปถ้าเรามีข้อความเยอะและรูปภาพมีสีสด จะทำให้โฆษณาดูล้นจนเกินไปจนไม่น่าดูไม่น่าคิดตาม แบบนั้นการใช้สีขาวดำจะน่าดึงดูดกว่า (หรือสดความสดของสีก็ได้)

ad-tactic16

15. ใช้เหตุผลดึงดูดลูกค้าหน้าใหม่ใช้อารมณ์ยั่วลูกค้าประจำ

ถ้าคิดว่าสินค้าของเรามันใหม่ เป็นนวัตกรรมที่กลุ่มเป้าหมายไม่เคยเห็นรู้จักมาก่อน โฆษณาจะต้องใช้เหตุผลเข้ามาโน้มน้าวให้สินค้าน่าซื้อ ผู้บริโภคจะรู้สึกว่าซื้อไปแล้วคุ้มค่าน่าลอง และทำให้สินค้าแตกต่างจากคู่แข่งได้ มิฉะนั้นหากลูกค้าไม่คุ้นเคยกับสินค้าของเรา ลูกค้าต้องใช้เวลาทำความเข้าใจของโฆษณาของเรามากขึ้น หาเหตุผลว่าสินค้าของเราดีอย่างไร โฆษณาจะไม่น่าสนใจขึ้นมาทันที

ad-tactic17

ตรงกันข้าม ถ้าลูกค้ารู้จักสินค้าหรือแบรนด์ของเราดีอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องอธิบายกันมาก การใช้คำพูดดีๆกับอารมณ์ในโฆษณายั่วลูกค้าให้อยากใช้สินค้าจะได้ผลมากกว่า เพราะจะทำให้สินค้าของเราดูใหม่ ให้ลูกค้ามองสินค้าของเราในมุมที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

ad-tactic18

16. ใช้คำในแง่ลบกระตุ้นให้ลงมือทำและใช้คำในแง่บวกให้คนจำโฆษณาของเราได้

ถ้าต้องการอธิบายปัญหาของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย (ก่อนแนะนำสินค้าของเรา) และซื้อสินค้าของเรา “ทันที” (หรือให้ทำอะไรสักอย่างเช่น ลงทะเบียนรับข้อมูล) การใช้คำในแง่ลบจะได้ผลดี หัวใจจะเต้นช้าลง ช่วยดึงสายตาคนดูได้นานขึ้น เราจะคิดนานขึ้นเพราะธรรมชาติของมนุษย์ต้องการหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดอยู่แล้ว

ad-tactic19

แต่ถ้าอยากบอกว่าถ้าใช้สินค้าของเราแล้ว ตัวลูกค้าจะได้ประโยชน์อะไร ให้ใช้คำในแง่ดีเอาไว้ ถ้าคำในแง่ลบช่วยเรียกความสนใจ คำในแง่บวกช่วยให้ลูกค้าจำโฆษณาและแบรนด์ของเราได้นานขึ้น

ad-tactic20

17. ลองย้ายตำแหน่งชื่อแบรนด์หรือโลโก้ดูบ้าง

เพราะเราไม่รู้ว่าโฆษณาแบบไหนดีที่สุด การทดลองแสดงโฆษณาหลายๆบนสื่อสังคมออนไลน์เช่น Facebook จะทำให้เรารู้ว่าโฆษณาตัวไหนดีที่สุด ฉะนั้นในแต่ละโฆษณา ลองย้ายตำแหน่งชื่อแบรนด์หรือโลโก้ดูบ้าง จากการศึกษาของ Shapiro and Nielson ในปี 2013 ได้ทดลองโฆษณาหลายๆแบบให้กับคนดู ถึงคนดูจะไม่ทันสังเกตชัดๆว่าอะไรตรงไหนเปลี่ยนไป แต่กลับชอบโลโก้มากขึ้น เวลาเปลี่ยนตำแหน่ง

ad-tactic21

18. กระจายการยิงโฆษณาตามระยะเวลาดีกว่า

ซึ่งนักจิตวิทยาเรียกเทคนิคนี้ว่า “Spacing Effect” เหมือนเตรียมอ่านหนังสือสอบ เราควรอ่านเก็บไปเรื่อยๆก่อนสอบ ไม่ใช่อ่านหมดตอนใกล้จะสอบ เพราะจะทำให้เรา “จำเนื้อหาได้ดีกว่า”  การทำโฆษณาก็เช่นเดียวกัน จากการศึกษาของ Sahni ในปี 2011ถ้าเราค่อยๆแสดงโฆษณาทีละนิดๆ ลูกค้าก็มีแนวโน้มซื้อสินค้ามากกว่ายิงโฆษณากระจุกในช่วงเวลาเดียวกัน เพราะลูกค้าจะคุ้นเคยและจำโฆษณาได้มากกว่า

ad-tactic23

19. วางโฆษณาปริ้นท์ไว้ทางซ้าย

ฟังดูไม่น่าเชื่อ แต่จากการศึกษาของ Cai, Shen และ Hui ในปี 2012 การวางราคาหรือสินค้าไว้ซ้ายมือของโฆษณาจะทำให้เรารู้สึกว่าราคานั้นถูก หรือคุณค่าของสินค้านั้นไม่แพงจนเกินไปนัก แต่ถ้าวางไว้ด้านขวาก็จะรู้สึกว่าแพงเกินจริง หากโฆษณาบนแมกกาซีนหรือสิ่งพิมพ์ การวางโฆษณาไว้ซ้ายมือจะดีกว่า

ad-tactic24

20. วางโฆษณาตรงท้ายสื่อ

เราใช้หลักจิตวิทยาอย่าง Serial Positioning Effect วางโฆษณาตั้งแต่ต้นหรือท้ายของสื่อก็ได้ เช่นวางโฆษณาไว้ตรงท้ายของนิตยสาร จะทำให้คอนเทนต์ของโฆษณาได้ผลมากกว่า บางทีหากวางตรงท้ายอาจได้ผลมากกว่าตามการศึกษาของ Wedel และPieters ในปี 2000 เพราะหลังจากคนอ่านเจอข้อมูลตัวอักษรมาเยอะๆทั้งหน้า การวางโฆษณาตรงท้ายจะช่วยให้คนอ่านจำได้มากกว่า แต่ถ้าคนอ่านไม่จบทั้งหน้า การวางโฆษณาไว้ต้น ก็อาจจะดีกว่า

ad-tactic27

แหล่งที่มา

https://www.nickkolenda.com/advertising-psychology/#ad-characteristics-t15


  • 2.1K
  •  
  •  
  •  
  •  
Sarunjade
แชร์มุมมองเกี่ยวกับ Digital Marketing, Digital Business และ Technology เท่าที่รู้ สามารถติชมหรืออยากให้เจาะลึกเรื่องไหนเป็นพิเศษ ส่งเมลมาเลยที่ contact@oopsnetwork.co.th