เว็บไซต์เป็นช่องทางสำคัญในการสื่อสารไม่ใช่แค่เฉพาะกับลูกค้า แต่กับธุรกิจด้วยกันเอง การมียอดจำนวนดูในเว็บเพจสูงๆ (Traffic) ก็อาจทำให้เจ้าของธุรกิจดีใจเล่น แต่จริงๆแล้วยอดจำนวนการดูสูงๆอาจไม่ได้บอกว่าเว็บไซต์ของเรานั้นมีคุณภาพ มีคนชอบ หรือมีคนมาซื้อของกับเราจริง เพราะคนดูหลายๆคนอาจเข้าไปแต่ไม่ได้ดูหรือสนใจเนื้อหาของเพจนั้นจริงๆก็ได้ เว็บไซต์มี Traffic สูงแต่ Bounce Rate สูงตาม แบบนี้น่าเป็นห่วง
Bounce Rate คืออะไร?
Bounce Rate คืออัตราจำนวนการดูเว็บไซต์หรือเว็บเพจแล้วออกไปจากเว็บฯนั้นโดยไม่ได้ทำอะไรกับตัวเว็บไซต์นั้นเลยเมื่อเกินระยะเวลาหนึ่ง ฉะนั้นถ้าคนดูเว็บไซต์ของเราเยอะก็จริง แต่ดูแล้วออกๆ ไม่สนใจ ปิดทันที ไม่ได้อ่านหรือทำอะไรกับคอนเทนต์ในเว็บไซต์ ต่อให้ยอด Traffic เยอะก็คงบอกไม่ได้ว่าเว็บไซต์ของเรามีคุณภาพ
Bounce Rate แค่ไหนถึงจะดี?
Bounce Rate ที่ดีก็ต่างกันตามหมวดหมู่หรืออุตสาหกรรมของธุรกิจหรือเว็บไซต์ แต่หากคิดถึงคำแนะนำของกูรู Google Analytics อย่าง Avinash Kausik ว่าเป็นเรื่องยากที่ทำให้ Bounce Rate อยู่ต่ำกว่า 20% ถ้ามากกว่า 35% ก็ควรจะกังวล และถ้ามากกว่า 50% ก็ถึงเวลาที่เว็บเพจนั้นต้องหาทางแก้ไขด่วนครับ
ทำไม Bounce Rate ของเว็บไซต์ถึงสูงเกินไป?
Bounce Rate ที่สูงเกินไปเป็นสัญญาณบอกว่าเว็บเพจนั้นไม่มีปฎิสัมพันธ์ดีพอกับคนที่เข้ามาดูเว็บเพจนั้น ซึ่งก็หนีไม่พ้น 3 สาเหตุใหญ่ๆ
1. เขียนเนื้อหาไม่ตรงกับหัวเรื่อง
ส่วนตัวคิดว่าปัญหานี้แรงที่สุด เหมือนกันเราให้สัญญากับคนอ่านแล้วหักหลัง ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาแบบล่อให้คลิก เปิดเรื่องขายของ หรือเราเข้าใจ(ของเราเอง)ว่าเราเขียนเนื้อหาเกี่ยวกับหัวเรื่องแล้ว แต่คนอ่านต้องมานั่งงมหาสิ่งที่อยากรู้และตามหาอยู่แต่หาไม่เจอ หรือเจอแต่เนื้อหาอธิบายน้อยไปจนยื้อคนดูไว้ไม่นานพอ และนี่ยังไม่รวมเรื่องของการสะกดคำผิดทำให้คนอ่านสะดุดบ่อยๆ แบบนี้คนอ่านก็พร้อมที่จะปิดเว็บเพจของเราทันที ผลที่ตามมาอย่างหนึ่งคือ Google ก็จะมองว่าเว็บไซต์ของเราไม่มีคุณภาพและจัดอันดับเว็บไซต์ของเราไว้ท้ายๆคู่แข่ง เว็บไซต์อาจได้ Traffic เยอะก็จริง แต่ไม่รู้ตัวว่าเป็นการดับธุรกิจของเราทางอ้อม
2. เว็บไซต์หรือเว็บเพจนั้นโหลดช้าเกินไป
ซึ่งมันอาจมีหลายสาเหตุเช่น ใส่รูปที่มีขนาดหรือความละเอียดใหญ่เกินไป ไม่ทำให้เว็บไชต์เปิดใช้งานบนมือถือได้ง่าย หรือใส่ฟังก์ชั่นที่ไม่จำเป็น ปุ่มกดบนเว็บไซต์ก็กดบนมือถือยาก ใช้ฟอนต์ใหญ่เกินไป ยัดเนื้อหาทุกอย่างไว้ใน Landing Page ฯลฯ และที่สำคัญชอบใส่ Slider ให้กับรูปภาพ ซึ่งนอกจากจะไม่จำเป็นแล้ว Javascript ที่ใช้สำหรับ Slider ยังไปกินเวลา เมื่อคนเปิดเว็บไซต์ทนรอไม่ไหว ก็พร้อมที่จะปิดเว็บไซต์ของเราได้ตลอดเวลา ปัญหาคือเราอาจจะทำเว็บไซต์บนหน้าจอคอมพิวเตอร์จนลืมไปว่ายุคนี้คนส่วนใหญ่เค้าใช้มือถือเปิดเว็บเพจได้ด้วย
3. นำคนมาดูผิดเว็บเพจ
ฟังดูเป็นเรื่องตลก แต่ก็เกิดขึ้นกับหลายเว็บไซต์มาแล้ว อาจเป็นเพราะเรากำหนดกลุ่มเป้าหมายคนดูหรือลูกค้าผิดตั้งแต่เริ่มต้นเลยก็ได้ หรือเราอาจกำหนดกลุ่มเป้าหมายลูกค้าไว้กว้างกว่ากลุ่มลูกค้าตัวจริง ยิ่งหากเราลงทุนทำโฆษณาในรูปแบบของ Google Adwords ละก็ ได้ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำแบบไม่รู้ตัวด้วย ตัวอย่างง่ายๆเช่น ทำเว็บเพจขายรองเท้าเด็กผู้ชายเล่นกีฬา แต่กลับตั้งกลุ่มเป้าหมายว่าเป็นผู้ชายทุกคน แบบนี้จะไม่ทำให้ Bounce Rate มันสูงได้อย่างไร?
และต่อให้เนื้อหาในเว็บไซต์ดีแค่ไหนก็ตาม แต่ถ้าเว็บไซต์ออกแบบมาไม่สวยและดูน่าเชื่อถือ ไม่ได้ใส่ใจในรายละเอียดของกราฟฟิค คนที่เข้ามาดูก็จะรู้สึกว่าตัวเองกำลังอ่านเนื้อหาที่ดูไม่น่าเชื่อถือเหมือนกำลังอ่านข้อความจากสแปมเมล์ แล้วแบบนี้ใครจะอยากอ่านและกล้าแชร์ต่อ? แถมบางเว็บไซต์ยัดรูปภาพและโฆษณาแบนเนอร์เข้าไปจนล้นกว่าข้อความ ทำให้คนอ่านหาไม่เจอว่าต้องทำอะไรต่อไป
จะรู้ได้อย่างไรว่า Bounce Rate ของเว็บไซต์หรือเว็บเพจนั้นอยู่ที่เท่าไหร่?
ลองใช้เครื่องมืออย่าง Google Analytics ดูก็ได้ครับ หากใครเพิ่งจะเริ่มใช้ ก็สมัครบัญชีของ Google แล้วฝังโค้ตที่ Google Analytics ให้ในแต่ละเว็บเพจ หรือใครที่ใช้ WordPress สร้างเว็บไซต์ก็หา Google Analytics ที่เป็นตัว Plug-in มาติดตั้งเอา (แต่หากจะดูข้อมูล ให้ใช้งานผ่าน Google Analytics จะละเอียดกว่า) พอสมัครสมาชิก ฝังโค้ตเรียบร้อยแล้ว ให้เปิด Dashboard ด้านขวามือ เลือก Audience และ Overview ก็จะเห็นค่า Bounce Rate ละครับ
จะลด Bounce Rate ไม่ให้คนปิดหนีเว็บฯของเราได้อย่างไร?
เป้าหมายของเราคือการทำให้คนดูอยู่กับเว็บไซต์ของเรานานที่สุด และที่สำคัญนำไปสู่การซื้อของและยอดขายด้วย สำหรับธุรกิจขายของออนไลน์ วิธีแก้ไขก็แก้ที่สาเหตุครับ
1. กลับมา Back to Basic แต่ต้นเลยว่ากลุ่มเป้าหมายไหนที่จะมาดูเว็บเพจและเว็บไซต์ของเรา
เวลาทำคอนเทนต์ ออกแบบและทำโฆษณา Google Adwords จะได้ไม่พลาดตั้งแต่เริ่ม ยิ่งระบุให้เฉพาะเจาะจงมากขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งดี (และต้องตรงกับเป้าหมายของธุรกิจ) อยากให้เวลากับตรงนี้ และสื่อสารกับคนในธุรกิจให้เข้าใจตรงกันด้วย
2. วางแผนและทำคอนเทนต์รวมถึงทำ SEO
เขียนบทความ หรือทำวีดีโอให้เนื้อหาตรงกับหัวเรื่อง แนะนำว่าก่อนเขียนควรค้นคว้าว่าคีย์เวิร์ดไหนที่กลุ่มเป้าหมายคนดูเว็บไซต์ค้นหาอยู่เป็นประจำและไม่ค่อยมีคู่แข่งเล่นคีย์เวิร์ดตัวนั้น (ลองใช้ Google Keyword Planner ช่วย) จะได้เอาคีย์เวิร์ดตัวนั้นใส่ในบทความ คำอธิบายบทความ Tag ลิงค์ และหัวเรื่อง เวลาคนเข้ามาอ่านหรือดูแล้วอยากตามอยากอ่านต่อ พยายามเขียนให้อ่านง่าย มีหัวเรื่องย่อยให้คนดู สะกดคำให้ถูก หากมีคลิปวีดีโอสักตัวให้ดูก็ยิ่งดีเพราะจะช่วยให้คนอยู่ก็บเว็บเพจนั้นนานขึ้น ส่วนการใส่ภาพ ก็สามารถใส่ในปริมาณที่พอดี อย่าใส่น้อยเกินไปจนคนไม่เข้าใจบทความได้ง่าย หรืออย่าใส่เยอะจนคนอ่านไม่รู้ว่าต้องทำอะไรต่อไป
3. คิดถึงประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์
โดยเฉพาะการใช้งานเว็บไซต์บนสมาร์ทโฟน อย่าคิดถึงแต่ประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์บนหน้าจอคอมพิวเตอร์เพียงอย่างเดียว รูปแบบตัวอักษรเห็นชัดเจนบนมือถือหรือไม่? กดลิงค์ง่ายหรือไม่? การลงทะเบียนใช้งานเว็บไซต์ง่ายหรือไม่? มีขั้นตอนการซื้อของที่เข้าใจยากซับซ้อนหรือเปล่า? ถ้ามีมากเกินไป พอตัดออกได้หรือไม่? แม้แต่หน้า Page not Found 404 หรือหน้า Thank you เมื่อลูกค้าชำระเงินเสร็จ ก็ต้องคิดถึงด้วยว่าคนดูพอจะทำอะไรต่อไปในเว็บไซต์ของเราได้หรือไม่
และอย่าลืมคอยเช็ค Bounce Rate ใน Google Analytics อยู่ตลอดว่าการปรับเว็บเพจของเราดีขึ้นหรือไม่ ซึ่งก็ต้องอาศัยเวลาพอสมควรครับ กว่าจะรู้ว่าเว็บเพจนั้นมีคนเข้ามาอ่านมาดู มีปฎิสัมพันธ์นานขึ้นหรือไม่ครับ
Copyright © MarketingOops.com