เข้าใจจิตวิทยาของฟรี ที่จะมาช่วยทำให้การตลาดคุณพุ่งทะยาน

  • 1
  •  
  •  
  •  
  •  

 

ของฟรี นั้นดึงดูดใจ ดึงดูดคนให้เข้ามาได้ง่าย สามารถทำให้คุณสมัครสมาชิกฟิตเนสหรือดาวน์โหลดแอปสำหรับทำสมาธิ หรือเดินชิมอาหารตัวอย่างเพลินๆ ในห้างได้ ทำไมการให้ของฟรีจึงได้ผล และทำไมสมองถึงสนใจทันทีที่เห็นคำว่า “ไม่มีค่าใช้จ่าย”? แล้วธุรกิจจะเปลี่ยนคนที่รับของ “ฟรี” ให้กลายเป็นลูกค้าผู้ชำระเงินได้อย่างไร? มาเข้าใจการใช้หลักจิตวิทยาของฟรีกัน

การให้ของฟรีนั้นได้ผล เพราะด้วยการให้ของฟรี สามารถกระตุ้นหลักการทางจิตวิทยาที่สร้างแรงผลักดันอันทรงพลังให้ “ซื้อ” ไม่ว่าจะเป็น

  1. พลังแห่ง “ความเป็นเจ้าของ” : เมื่อคนได้ใช้ผลิตภัณฑ์ในช่วงทดลองฟรี จะเริ่มรู้สึกว่า “เป็นเจ้าของ” สิ่งนั้น เรียกว่า Endowment Effect — เป็นการให้คุณค่ามากขึ้นกับสิ่งที่รู้สึกว่าเป็นของตัวเอง ในสมองจะกระตุ้น Reward Pathways ทำให้ผลิตภัณฑ์นั้นมีคุณค่ามากขึ้น มีการหลั่ง Dopamine ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่ทำให้รู้สึกดี เป็นการสร้างความสุขและความผูกพันกับผลิตภัณฑ์
  2. การลดความเสี่ยง : การให้ฟรีช่วยขจัดความกลัวในการตัดสินใจซื้อผิดพลาด เพราะผู้ใช้ได้ “ลอง” ก่อนจะจ่ายเงิน สมองส่วน Amygdala ซึ่งทำหน้าที่ประมวลผลความกลัวและความเสี่ยง ทำงานน้อยลงเมื่อไม่มีค่าใช้จ่ายตั้งแต่แรก ทำให้สมองส่วนหน้า (Prefrontal Cortex) ซึ่งรับผิดชอบการตัดสินใจเชิงเหตุผล โฟกัสกับการประเมินคุณค่าของผลิตภัณฑ์ได้เต็มที่
  3. การสร้างนิสัย การให้ผู้ใช้เข้าถึงผลิตภัณฑ์ได้เต็มรูปแบบในช่วงทดลองฟรี เปิดโอกาสให้ผลิตภัณฑ์เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในกิจวัตรประจำวัน พอเกิดเป็นนิสัยแล้ว มักจะเลิกได้ยาก ในสมองวงจรประสาทที่เกี่ยวข้องกับการสร้างนิสัย (เช่น บริเวณ Basal Ganglia) จะเริ่มทำงาน ทำให้ผู้ใช้ยังคงใช้งานผลิตภัณฑ์ต่อไปได้ง่ายขึ้น แม้ช่วงทดลองจะสิ้นสุด
  4. ความกลัวที่จะสูญเสีย พอช่วงทดลองใกล้หมด Users จะรู้สึกกลัวที่จะ “เสีย” สิ่งที่เคยใช้อย่างเพลิดเพลินไป Loss Aversion จึงเป็นแรงผลักดันที่รุนแรง เพราะการสูญเสียมักเจ็บปวดกว่าความสุขที่ได้รับเมื่อได้ของใหม่ สมองบริเวณ Anterior Cingulate Cortex ซึ่งเกี่ยวข้องกับความเจ็บปวดและการสูญเสีย จะเริ่มทำงาน ดึงดูดให้ผู้ใช้หลีกเลี่ยงความรู้สึกแย่นั้น ด้วยการ “ตัดสินใจซื้อ”
  5. แรงกระตุ้นจากการเปรียบเทียบทางสังคม เมื่อผู้ใช้เริ่มได้ประโยชน์จากผลิตภัณฑ์ พวกเขาจะเปรียบเทียบชีวิต “ตอนมี” กับ “ตอนที่ไม่มี” เกิดเป็น FOMO จนนำไปสู่การตัดสินใจซื้อ สมองจะมีการเปรียบเทียบทางสังคมกระตุ้นระบบรางวัลในสมอง โดยเฉพาะบริเวณ Ventral Striatum ย้ำเตือนว่าการ “มีผลิตภัณฑ์” ทำให้ประสบการณ์ชีวิตดีกว่า

 

 

“การให้ฟรี” ไม่ได้แค่ทำให้รู้สึกดี แต่ยังหลั่งเคมีในสมองเพื่อกระตุ้นความรู้สึกอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น โดพามีน ที่เป็น “สารแห่งความสุข” จากการได้ของฟรี ออกซิโทซีน เป็นฮอร์โมนช่วยสร้างความไว้วางใจและความผูกพัน ทำให้คุณรู้สึกว่า “ผลิตภัณฑ์นี้น่าเชื่อถือและเป็นมิตร” เมื่อของฟรีใกล้หมดจะเกิดการหลั่ง คอร์ติซอล ฮอร์โมนความเครียด จะพุ่งสูงขึ้น ความกลัวที่จะสูญเสียการเข้าถึงทำให้เกิดความเร่งรีบในการตัดสินใจซื้อ และ เซโรโทนิน “ฮอร์โมนแห่งความสุข” จะเสริมความรู้สึกพึงพอใจ บอกสมองของคุณว่า “แบบนี้ดีนะ น่าจะรักษามันไว้”

นักการตลาดสามารถออกแบบการใช้ของฟรีให้มีประสิทธิภาพได้ด้วยการกระตุ้นโดพามีนด้วย “ความสำเร็จเล็ก ๆ” ทันที แบบ Duolingo ที่มอบรางวัลให้ผู้ใช้รู้สึกภูมิใจเมื่อทำสำเร็จในการผ่านบทเรียน สร้างความไว้วางใจด้วยออกซิโทซีผ่านปฏิสัมพันธ์เชิงบวก แบบ Canva ให้ผู้ใช้ทดลองฟีเจอร์พรีเมียมและคุ้นเคยเครื่องมือตั้งแต่ช่วงทดลองใช้ กระตุ้นความเร่งด่วนด้วยคอร์ติซอลในช่วงเวลาสำคัญ Duolingo ที่จะคอยย้ำเตือนว่าเมื่อหมดทดลองใช้จะเสียฟีเจอร์อะไรไป และตอกย้ำความพึงพอใจด้วยเซโรโทนินผ่าน “คุณค่าที่สัมผัสได้” เช่น Canva ทำให้คนที่ลองใช้ได้เห็นคุณค่าของการใช้งานจนต้องสมัครจ่ายเงินใช้จริง

นอกจากนี้แบรนด์ยังสามารถเปลี่ยนช่วงเวลาทดลองการใช้งานหรือได้ของฟรี ให้กลายมาเป็นการจ่ายเงินได้ ด้วยการย้ำเตือนว่า สามารถใช้ชีวิตที่สบาย เหมือนเดิมได้ เพียงแค่จ่ายเงินไม่กี่บาท หรือมีความคุ้มค่ากับการจ่ายเงินแค่ไหนในการใช้งาน เช่น Netflix ที่ให้คุณดูฟรี 30 วัน และดูจนติดซีรีส์สักเรื่อง รู้สึกว่า “ขาดไม่ได้” แล้วการจ่ายเงินเพื่อใช้งานต่อก็กลายเป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งนี่คือ Halo Effect แบบหนึ่ง หรือ Spotify พอถึงวันที่ 27 ของช่วง Premium ฟรี ที่จะมาย้ำเตือนว่า ถ้าจ่ายเงินจะมีความรู้สึกแบบเดิมต่อไปแบบไม่มีติดขัดอย่างไร


  • 1
  •  
  •  
  •  
  •  
Molek
Head of Strategic Marketing ใน Integrated Service Agency ที่หนึ่ง ผู้หลงใหลในหลาย ๆ ที่มีความอยากรู้และเรียนรู้ในเรื่อง Startup, นวัตกรรม, การตลาด จากมุมมองหลาย ๆ ด้านและวัฒนธรรมของแบรนด์ต่าง ๆ