การทำ Digital Marketing หรือไม่ในยุคนี้ที่นิยมต่อยอดไปทำ Data Driven Marketing นั้นสิ่งสำคัญที่สุดคือการที่ต้องสามารถวัดผลต่าง ๆ ได้ เพราะด้วยการวัดผลนี้จะทำให้สามารถเข้าใจได้ว่า Digital Marketing ที่ลงมือทำไปนั้นประสบความสำเร็จหรือไม่ และจะต้องแก้ไขอย่างไรต่อ หากยังไม่ดีขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถเก็บข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์ต่อในอนาคตในการที่จะทำสินค้าใหม่หรือทำแคมเปญการตลาดใหม่ ๆ ได้ขึ้นมา
Metrics ใน Digital Marketing นักการตลาดหลาย ๆ คน อาจจะเคยใช้ไม่ว่าจะเป็น Impression ที่นับการโหลดของหน้าเว็บไซต์ หรือโฆษณาขึ้นมา หรือไม่ว่าจะเป็น Reach ที่เป็นการนับการเข้าถึง หรือจะเป็นการนับที่ Conversion ต่าง ๆ ในบทความนี้เราจะมาเจาะลึกเพิ่มขึ้นใน Metrics ที่นักการตลาดควรรู้เพิ่มเติมเพื่อที่จะเอาไปใช้ต่อได้ใน Digital Marketing หรือ Data Driven Marketing นี้
-
- Abandon Rate เป็นการวัดผลที่คนทำ Digital Marketing ในยุคนี้ที่ควรรู้ เพราะเป็นการนับไปถึงว่าคนยกเลิกการเชื่อมต่อ การซื้อ หรือ Last Action ไปมากน้อยแค่ไหน ซึ่งส่งผลมายังยอดขายหรือตัวเลขที่ประสบความสำเร็จในการทำแคมเปญเพิ่มขึ้น ซึ่งนับที่ Abandon rate = จำนวนคนที่ทิ้งตระกร้าสินค้า/ฟอร์มลงทะเบียน หารด้วย Transactions เริ่มต้นที่เกิดขึ้น คูณ 100%
- ROAS เป็นการวัดที่สำคัญอย่างมาก เพราะวัดว่าลงทุนโฆษณาไปเท่าไหร่ และได้ผลกลับมาเข้าแค่ไหนเมื่อเทียบกัน ทำให้รู้ว่าแคมเปญไหนได้ผล หรือไม่ได้ผล โดยวิธีการวัดคือ ROAS = รายได้ที่มาจากโฆษณา/รายจ่ายโฆษณานั้น ๆ
- Average Revenue Per Account/User/Customer (ARPA, ARPU, ARPC) นี้เป็นการหาค่าเฉลี่ยของรายได้ต่อหัวขึ้นมา ใช้ในการที่จะมาวิเคราะห์ว่าควรจะขึ้นราคา หรือราคาดี โดยคำนวนได้จาก ARPA = รายได้รายเดือน/จำนวนผู้ใช้ทั้งหมด
- Time to Payback CAC เป็นการคำนวนว่างบทางการตลาดที่ใช้ไป จะใช้เวลาเท่าไหร่ในการที่จะคืนทุนทางการตลาดมา วิธีคิดคือ Time to Payback CAC หารด้วย ARPA ที่คูณ Gross Profit
- Churn Rate ตัวชี้วัดนี้นักการตลาดหลายคนน่าจะรู้จักและได้ยินกันมาบ้าง เป็นตัวชี้วัดที่ว่า ลูกค้าเลิกใช้เราไปเท่าไหร่แล้ว ซึ่งยิ่งเยอะ ยิ่งไม่ดี วิธีคิดคือ Churn Rate = ตัวเลขคนเลิกใช้ในช่วงเวลา A หารด้วย จำนวนผู้ใช้เริ่มต้นในช่วงเวลา A คูณด้วย 100%
- Share of Market (SOM) เป็นการคิดเรื่องว่าเรามีส่วนแบ่งแค่ไหนในการตลาด โดยคำนวนมาจาก SOM = ยอดขายบริษัท หารด้วย ยอดขายทั้งตลาด คูณด้วย 100%
- Share of Wallet (SOW) หลาย ๆ ครั้งนักการตลาดเปรียบเทียบแต่การซื้อขายกับคู่แข่งเท่านั้น แต่จริง ๆ แล้วยังมีคู่แข่งอื่น ๆ ที่เป็นทางอ้อมที่มาแย่งเงินในประเป๋าเงินดังนั้นการคำนวนว่าเงินในกระเป๋าเงินลูกค้าเป็นของนักการตลาดแค่ไหน และจะเพิ่มได้อย่างไร นั้นจึงมีความสำคัญอย่างมาก ซึ่งข้อมูลนี้สามารถหาได้จากการทำงานวิจัยทางการตลาดในรูปแบบต่าง ๆ หรือ การเก็บข้อมูลทางการตลาดมา ซึ่งวิธีที่สุดที่แนะนำคือการทำผ่านการทำ Focus Group ที่จะสามารถให้ insight ที่คุณนึกไม่ถึงอย่างมากว่ามีการใช้จ่ายเงินในกระเป๋าเงินอย่างไร SOW = จำนวนรายจ่ายของลูกค้าที่ซื้อสินค้าจากแบรนด์เรา หารด้วย รายจ่ายที่ลูกค้าใช้ในกลุ่มสินค้าหรือบริการเดียวกันทั้งหมด คูณ 100%
- Customer Retention Rate (CRR) เป็นการคิดที่มองว่าลูกค้าจะอยู่กับเราได้ยาวนานแค่ไหน หรือแค่ซื้อสินค้าแล้วก็จากไป การหาลูกค้าใหม่นั้นมีค่าใช้จ่ายมากกว่าการรักษาลูกค้าเก่าหรือทำให้ลูกค้าเก่ากับมาซื้อเพิ่ม ดังนั้นการที่มีการรักษาลูกค้าไว้ได้นั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งสามารถคำนวนได้จาก CRR = จำนวนลูกค้าเมื่อจบในช่วงระยะเวลา A – จำนวนลูกค้าที่ได้มาในช่วงระยะเวลา A หารด้วย จำนวนลูกค้าเริ่มต้นในช่วงระยะเวลา A คูณ 100%
- Customer Lifetime Value (CLV) เป็นค่าที่นักการตลาดควรรู้จักอากมาก เรพาะหาได้ว่าลูกค้าคนนึงนั้นมีค่าต่อแบรนด์หรือองค์กรมากน้อยแค่ไหน หรือ แบรนด์และองค์กรได้ผลประโยชน์จากลูกค้าคนนี้มากน้อยแค่ไหน นั้นเอง โดยคำนวนจาก CLV = Margin เฉลี่ยที่ได้จากลูกค้าต่อคน คูณจำนวนครั้งการซื้อโดยเฉลี่ย คูณ ระยะเวลาเฉลี่ยความสัมพันธ์ของลูกค้าในจำนวนปี
โดย Metrics ที่นำมาเสนอในบทความนี้ก็สามารถช่วยให้นักการตลาดเริ่มต้นในการทำใช้ข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกมากกว่าการทำการวัดโฆษณาได้แล้ว ทั้งนี้จะมี Metrics อีกมากมายกว่านี้ที่นักการตลาดที่อยากจะรู้จริง และใช้งานในระดับเชิงลึกได้ว่าจะทำงานกับตัวเลข วิเคราะห์ตัวเลข และปรับปรุงประสิทธิภาพและประสิทธิผลให้กิจกรรมทางการตลาดนั้นดีขึ้น