นักการตลาด และโฆษณาออนไลน์คงจะทราบกันดีว่า ระบบโฆษณาที่เราใช้กันจะเป็นแบบ PPC (Pay Per Click) ไม่ว่าจะเป็น Google หรือ Facebook หรือจะช่องทางอื่นๆ ซึ่งการคิดเงินค่าโฆษณา หรือค่าคลิก จะเป็นระบบ “ประมูล” แทบทั้งหมด ซึ่งหมายความว่าราคาโฆษณาจะขึ้นอยู่กับการแข่งขันเป็นหลัก (และมีปัจจัยอื่นๆ ด้วย เช่น คุณภาพลองเว็บไซต์ หรือคอนเทนต์)
หรือถ้าจะพูดถึงเรื่องการทำ SEO ที่ไม่ได้เป็นการซื้อโฆษณาแบบ PPC แต่เป็นการเน้นพัฒนาคุณภาพของเว็บไซต์ เพิ่มความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ เพื่อให้ Google เจอเว็บไซต์เราบ่อยขึ้น ส่งผลให้เว็บไซต์ของเราค่อยๆ ไต่อันดับมาหน้าแรกของ Google ปัจจัยหลักๆ ในการที่จะขึ้นหน้าแรกเร็ว หรือช้า ก็อยู่ที่การแข่งขันเหมือนกัน เพราะหากเว็บไซต์คู่แข่งทำ SEO กันมานานแล้ว แต่เราเพิ่งจะมาทำ การที่เราจะแซงหน้าคู่แข่งได้ก็จะยาก
สิ่งที่เกิดขึ้นกับการตลาดออนไลน์ในช่วง COVID-19
จากการเกิด COVID-19 และผลกระทบของ COVID-19 ที่ทำให้เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ และของโลกมีปัญหา ผู้คนเริ่มเก็บเงินมากขึ้น และความกล้าในการจับจ่ายใช้สอยก็ลดลง กระแสเงินสดที่จะไหลไปยังผู้ประกอบการต่างๆ ก็เริ่มลดน้อยลงไปด้วย ส่งผลให้หลายกิจการไม่สามารถดำเนินการไปต่อได้ หรืออาจจะต้องพักการดำเนินธุรกิจไปก่อน
สิ่งที่เกิดขึ้นกับการตลาดออนไลน์ในช่วง COVID-19 ที่สร้างโอกาสในการทำการตลาดให้อีกหลายธุรกิจคือ จำนวนการแข่งขันที่ลดลง ส่งผลให้ค่าโฆษณาลดลง ไม่ว่าจะเป็น Cost per Click หรือจะเป็น Cost per 1,000 Impressions ซึ่งจากที่ Pacy Media ได้ลองเทียบผลลัพธ์ดู ในบางประเภทธุรกิจนั้นลดลงถึง 20% โดยเฉลี่ย เช่น ธุรกิจความงาม ธุรกิจแฟชั่น แต่ในบางธุรกิจที่ยังคงมีความต้องการ และการแข่งขันสูง ก็มีโอกาสที่ค่าโฆษณาจะแพงขึ้นได้เช่นกัน แต่ก็แลกมากับ Demand ในตลาดที่สูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจ Offline หรือ Online ที่ยังคงมีความต้องการอยู่ หรือจะเป็นสินค้าที่มีความต้องการสูงในช่วงนี้ เช่น บริการฆ่าเชื้อโรค หรือเทคโนโลยีต่างๆ ในการกำจัดเชื้อโรค แต่อย่างไรก็ตาม ธุรกิจที่จะอยู่รอดในช่วงนี้ได้ ต้องอยู่บนโลก Online เท่านั้น
จากกราฟด้านบนจะเป็นค่า Cost per 1,000 Impressions หรือ CPM ของแถบอเมริกาเหนือ จะเห็นได้ว่า ค่าโฆษณาเริ่มถูกลงตั้งแต่เดือนมกราคม และยังคงต่ำอยู่อย่างนั้นจนถึงตอนนี้ เนื่องจากสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้นสักเท่าไหร่
แต่หากดูที่ CPM ของแถบเอเชียตะวันออก ค่าโฆษณาเดือนกุมภาพันธ์ลดลงจากเดือนมกราคมประมาณ 30% และเริ่มเพิ่มสูงขึ้นในเดือนมีนาคม เนื่องจากสถานการณ์เริ่มดีขึ้นแล้วในหลายๆ ประเทศ แต่ก็ยังคงต่ำกว่าปกติเล็กน้อย
สำหรับการทำ SEO ที่ไม่เกี่ยวข้องกับค่าโฆษณา แต่จะเกี่ยวข้องกับการปั้นเว็บไซต์ให้มีคุณภาพ หลายธุรกิจก็เริ่มลดความจริงจังในการทำ SEO ลงมา บางธุรกิจอาจจะหยุดทำชั่วคราว ส่งผลให้หลายๆ ธุรกิจที่ยังคงทำ SEO ต่อ เห็นการขยับตัวขึ้นของตำแหน่งบนหน้า Google ได้อย่างชัดเจน ซึ่งโดยปกติการทำ SEO จะต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะเห็นผลลัพธ์ แต่ในช่วงนี้ หลายธุรกิจมีโอกาสที่จะเห็นผลลัพธ์เร็วขึ้น อีกทั้งยังเป็นโอกาสในการเพิ่มคุณภาพเว็บไซต์ให้แซงหน้าคู่แข่ง เพราะหากเศรษฐกิจกลับมาเหมือนเดิม คู่แข่งที่หยุดทำ SEO ไป ก็ต้องมาไล่ทำ SEO ตามเว็บไซต์ของเราอีกซักพักเลย
แล้วธุรกิจของคุณควรปรับไปในทิศทางไหนในช่วง COVID-19
เราไม่สามารถที่จะเจาะลึกในธุรกิจแต่ละประเภท ดังนั้นเราจึงลองแบ่งประเภทธุรกิจตาม Demand Side ของคนในช่วงนี้ออกมาเป็น 4 ประเภท ซึ่งคำแนะนำจากเราไม่ใช่ตัวชี้ขาดถึงสิ่งที่คุณควรทำ ต้องลองทำไปประยุกต์ให้เข้ากับแต่ละกิจการด้วย
ธุรกิจของคุณเข้าข่ายประเภทไหนลองดูกัน
1. ไม่มี Demand และไม่พร้อมซื้อ
เช่น ธุรกิจท่องเที่ยว ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจทัวร์ หากธุรกิจของคุณเข้าข่ายเป็นธุรกิจที่ลูกค้าไม่มี Demand และไม่พร้อมซื้อ การถือเงินสดเป็นสิ่งสำคัญ เพราะไม่รู้ว่าลูกค้าจะกลับมามีความเชื่อมัน หรือมี Demand อีกเมื่อไหร่ ดังนั้นไม่ค่อยแนะนำให้ทุ่มเงินมาทำกิจกรรมอะไรที่ไม่ได้สร้างคุณค่าให้กับกิจการ เว้นแต่ลงทุนในด้านการตลาดที่จะให้ผลในระยะยาวได้ เช่น SEO
2. พอมี Demand แต่คนยังไม่กล้าใช้เงิน
เช่น ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจความงาม ธุรกิจแฟชั่น สินค้าฟุ่มเฟือยต่างๆ ธุรกิจประเภทนี้สามารถเน้นการฟูมฟักว่าที่ลูกค้าได้ เนื่องจากคนที่ติดต่อเข้ามาช่วงนี้ อาจจะยังไม่พร้อมซื้อ แต่ลึกๆ ในใจก็มีความต้องการในตัวสินค้า หรือบริการอยู่บ้างแล้ว การทำคอนเทนต์ หรือสร้างความสัมพันธ์เป็นสิ่งสำคัญ เมื่อวันที่พร้อมซื้อ ลูกค้าก็จะสามารถติดสินใจซื้อกับคุณได้เลยทันที
อาจจะทำ SEO หรือ Google Ads เพื่อเก็บ Lead หรือลูกค้าใหม่ๆ หรือจะลองทำ Social Media ด้วยเพื่อไม่ให้ลูกค้าลืม และสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าผ่าน Line Official Account หรือ Facebook Page
ทั้งนี้ การทำ Social Media ในช่วงนี้ ถึงจะค่าโฆษณาลดลง แต่การตอบสนอง หรือมีส่วนร่วมกับโพสต์ในหลายๆ ธุรกิจมีโอกาสที่จะต่ำลงได้
3. มี Demand ตามปกติ และมีความต้องการ แต่พฤติกรรมของลูกค้าเปลี่ยน
เช่น ธุรกิจอาหาร ธุรกิจบริการตามบ้าน ซ่อมหลังคา ทำรางน้ำฝน หรือจะเป็น ร้านตัดผม ธุรกิจเหล่านี้ยังมีความต้องการอยู่ แต่พฤติกรรมของลูกค้าเปลี่ยน เช่น ลูกค้าเริ่มค้นหาบนช่องทางออนไลน์มากขึ้น ลูกค้าเริ่มพิจารณามากขึ้นว่าผู้ให้บริการต่างๆ ดูแลเรื่องความสะอาดดีแค่ไหน สำหรับบางธุรกิจ ลูกค้าอยากได้สินค้าเดิมแต่ในรูปแบบที่ต่างจากเดิม เช่น อยากกินชาบู แต่จะกินที่บ้าน ต้องการหม้อชาบู และเมนูท่ีเหมาะกับการทำกินเองที่บ้าน เป็นต้น
ธุรกิจประเภทนี้ต้องปรับตัวอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ทันกับพฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนไป บางธุรกิจที่ทำ Offline อย่างเดียว จำเป็นต้องมีเว็บไซต์ หรือ Facebook Page หรือธุรกิจที่ทำออนไลน์อยู่แล้ว อาจจะต้องทำเว็บไซต์แบบ eCommerce เพิ่ม ซึ่งการเข้าถึงกลุ่มลูกค้า อาจจะลองเป็น Google Ads หรือ Facebook Ads ก็ได้ เพราะจะรวดเร็วกว่าการทำ SEO แต่หากคิดว่าจะหวังผลในระยะยาวด้วย ก็สามารถทำ SEO ควบคู่ไปได้
4. มี Demand สูง และพร้อมซื้อ
เช่น เครื่องกำจัดเชื้อโรค และไวรัส หรือบริการฆ่าเชื้อต่างๆ ธุรกิจประเภทนี้มี Demand สูงมากในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา ควรปรับช่องทางการขายออนไลน์ให้พร้อม เช่น ลงเนื้อหาบนหน้าเว็บไซต์ให้ครบ ทำ Sale Page ให้น่าสนใจ และทำการตลาดด้วย Google Ads เป็นหลัก เพราะอัตราการค้นหาในสินค้า หรือบริการเหล่านี้ ปรับตัวสูงขึ้นมาก โดยสามารถทำ Remarketing ควบคู่ไปด้วยก็ได้
ขอขอบคุณบทความจาก Pacy media