ในรอบหลายปีที่ผ่านมาเราเห็นจำนวนบล็อกและเพจโซเชียลมีเดียต่างๆ ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด
แบรนด์ปัจจุบันจึงต้องเจอกับความเห็นทั้งด้านลบด้านบวกที่มาจากการรีวิวและการบอกต่อๆ กันของผู้บริโภคอยู่ตลอดเวลา ซึ่งสมัยก่อนแบรนด์ก็ใส่ใจความเห็นเหล่านั้นได้พอสมควรแต่ปัจจุบันเนื่องจากความเห็นล้นบ่ามากแบรนด์จึงอาจต้องปล่อยความเห็นไป
อย่างไรก็ตาม นิตยสาร Forbes ให้เครดิต WOM หรือ word-of-mouth ว่าเป็นการตลาดที่สำคัญที่สุดบนโซเชียลมีเดียเพราะกว่า 92% ของผู้บริโภคที่ได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับสินค้าบนเว็บไซต์จะรีบเปิดหารายละเอียดของสินค้านั้นเพิ่มเติมทันที ดังนั้นแม้บางครั้งสินค้าคุณอาจไม่ใช่ที่สุดแต่หากมันได้รับการบอกต่อมากพอก็จะมีคนยอมเสียเงินให้กับมัน
การเปลี่ยนแปลงในการบริโภคข้อมูล
ผู้บริโภคปัจจุบันชอบให้ฟีตแบคแบบส่วนตัวแก่แบรนด์ (ในกรณีที่พวกเขาไม่พอใจและอยากแสดงออกพวกเขาก็จะเมนต์ลงในกลุ่มให้เห็นกันทุกคน) ดังนั้นในแง่นี้บทบาทของ influencers ก็น่าจะมีไม่มากเท่าไหร่ แต่อย่างไรก็ดี ต้องอย่าลืมว่าคนที่จะชี้ถูกชี้ผิดให้แก่ผู้ใช้ส่วนใหญ่ก็เป็น influencers นั้นแหละ ผู้บริโภคส่วนใหญ่ไม่เชื่อแบรนด์เพราะคิดว่าแบรนด์ต้องการ “เงิน” อย่างเดียว จำไว้ว่าพวกเขาจะมาหาคุณเมื่อมีเรื่องเท่านั้นแหละ
ดังนั้น การเขียนและเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็น influencer ซะเลยเป็นหนทางที่ดีทางหนึ่งของแบรนด์ที่จะยึดโยงกับผู้บริโภค แต่จะทำอย่างไรให้พวกเขาเชื่อคุณล่ะ? อย่าบอกว่าเป็นไปไม่ได้นะครับ Admin KFC ยังทำได้คุณก็ทำได้เหมือนกันครับ การจะกลายเป็น influencer ได้คือคุณต้องพยายามเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเขาและเข้าใจพวกเขาให้มากยิ่งกว่าตัวพวกเขาเอง โดยเฉพาะสำหรับคนไทยแล้ว “เรื่องขำขัน” และ “เรื่องดราม่า” ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของคนจะเป็นตัวช่วยที่ดีที่สุดของคุณครับ
กรณีศึกษาเช่นช่วงแรกๆ ที่บล็อกเกอร์ถือกำเนิดขึ้นมามีบล็อกเกอร์กลุ่มหนึ่งชื่อว่า mommy bloggers พวกเขาเป็นสาว Gen Y ที่กำลังกลายเป็นแม่และพยายามหาข้อมูลเพื่อเลี้ยงลูกให้ดีที่สุด ด้วยความที่พวกเขาคุ้นเคยกับอินเตอร์เน็ตจึงใช้มันเป็นสถานที่แนะนำและสนับสนุนกันและกัน บางคนที่มีอิทธิพลมากๆ ก็กลายเป็นบล็อกเกอร์จริงจัง
เนื้อหาของบล็อกเป็นการรีวิวสูตรอาหาร ภัตราคาร สถานที่พักผ่อน ซึ่งบางครั้งแน่นอนว่าได้รับค่าโฆษณาจากแบรนด์ แต่ถึงอย่างนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าบล็อกเกอร์คุณแม่มีอิทธิพลต่อแม่ๆ ที่เข้ามาดูบล็อกมากทีเดียว
Influencers vs. journalists
เมื่อเร็วๆ นี้ PR Week เพิ่งสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญในสองอุตสาหกรรมโดยถามว่า Influencers มีอิทธิพลในการฟิตช์เรื่องราวให้แก่ผู้บริโภคได้มากกว่านักข่าวหรือไม่ในปัจจุบัน และได้คำตอบที่น่าสนใจ
หากดูกลุ่มผู้ใช้อายุ 65 ขึ้นไป คุณต้องพึ่งหนังสือพิมพ์และทีวีเป็นช่องทางหลัก แต่หากเป็นเด็กวัยเรียนพวกเขาเลิกอ่านหนังสือพิมพ์กันแล้วดังนั้นคุณต้องไปตามหาพวกเขาบน IG หรือ YouTube ดังนั้นก็อาจจำเป็นต้องพึ่ง Influencer เพราะฉะนั้นเราจะเห็นว่าอันที่จริงแล้วทั้ง Influencers และนักข่าวมีอิทธิพลในกลุ่มและสถานการณ์ที่ต่างกัน คร่าวๆ คือหากคุณต้องการสื่อสารให้กับกลุ่มคนที่ต้องการความน่าเชื่อถือมาก เน้นนักข่าวดีกว่า แต่หากต้องการสื่อสารอย่างไม่เป็นทางการและให้อารมณ์สนุกสนานเป็นกันเอง เน้นไปที่กลุ่ม Influencer ดีกว่า
อันที่จริงแล้วมีหลักการทางวิทยาศาสตร์เพื่อบอกว่า Influencer หรือนักข่าวคนไหนเป็นคนที่เหมาะสมกับแบรนด์ของคุณมากที่สุดแต่ตอนนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการทดลองอยู่ ดังนั้นคุณสามารถทดลองโดยการหา Influencer และนักข่าวและลองให้พวกเขาทำการตลาดให้จากนั้นก็วัด ROI สรุปว่าอย่ากลัวที่จะแบ่งผลกำไรให้กับเหล่านักข่าวและ Influencer ไม่ลองไม่รู้หรอกครับ