ปัจจุบันนี้ Google กลายเป็นเหมือนห้องสมุดขนาดมหึมาที่คนทั้งโลกเสิร์จหาข้อมูลกัน 24/7 โดยมีสถิติจาก netmarketingshare ระบุว่าผู้ใช้กว่า 79.79% จะตรงเข้ามายัง Google เมื่อพวกเขาอยากหาคำตอบอะไรเรื่องใดเรื่องหนึ่ง (ข้อมูลวันที่ 10 พ.ค.) ซึ่งในฐานะดิจิตอลมาร์เกเตอร์ การเข้าใจอัลกอริธึมและลักษณะลูกค้าที่อยู่บนออนไลน์นี้กลายเป็นเรื่องสำคัญมาก มาร์เกเตอร์หลายคนพยายามทุกวิถีทางให้แบรนด์ของตัวเองขึ้น “หน้าหนึ่ง” ในผลการค้นหาของ Google ให้ยาวนานที่สุด
แต่สิ่งหนึ่งที่หลายคนลืมไปคือยังไงซะ Google ก็เป็นเพียงเครื่องมือค้นหา (search engine) เป็นโปรแกรมอย่างหนึ่ง และแม้มันจะพยายามอัพเดทอัลกอริธึมของตัวเองให้เข้ากับผู้ใช้อยู่เสมอแต่ก็ต้องยอมรับว่ามีจุดอ่อนอยู่เช่นกัน หนึ่งในนั้นคือการจัดลำดับผลการค้นหาด้วยระบบ SEO ซึ่งทำให้เกิดคอนเทนต์แบบใหม่ที่เรียกว่า Thin Content ที่มาเพื่อเน้นปรากฏตัวบนหน้าหนึ่ง ไม่เน้นเนื้อหาและคุณภาพ เน้นให้ Google ค้นหาเจอก็พอ
thin content คืออะไร?
อันที่จริงแล้ว Google ให้นิยาม thincontent ไว้ว่าเป็นเพจที่ “มีคุณภาพต่ำ” คือไม่ได้เพิ่มคุณค่าอะไรให้แก่ผู้อ่านหรือไม่ใช่คอนเทนต์ออริจินัล ซึ่งทำให้เกิดความฉงนกันไม่น้อยว่ายังไงคือคุณภาพต่ำและอย่างไรถึงเรียกว่าคอนเทนต์ออริจินัล
“วิธีการสำคัญที่ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีอันดับที่สูงขึ้นในการค้นหาผ่าน Google นั้นคือการสร้างคอนเทนต์ที่เต็มไปด้วยข้อมูลและมีคีย์เวิร์ด ใช้คำได้อย่างเหมาะสม และตั้งหัวเรื่องที่ตรงกับคอนเทนต์” ข้อมูลจากเว็บไซต์ของ Google ระบุ
ภาพจาก Google อธิบายว่าอะไรคือ Thin Content
ตามหลักการทั่วไป thin content มักหมายถึงหน้าเพจหรือบทความใดๆ ที่มีปริมาณตัวอักษรน้อยมากๆ (ไม่เกิน 200-300 คำ) หลายคนอาจสับสนว่า thin content กับ duplicate content แตกต่างกันอย่างไร หลักใหญ่ๆ คือ duplicate content เน้นการก็อปปี้คอนเทนต์เดิมๆ เผยแพร่ทางช่องทางอื่นๆ ผ่านโดเมนเดียวหรือหลายโดเมน ขณะที่ thin content เน้นที่ความด้อยคุณภาพของคอนเทนต์ แน่นอนว่าหลายครั้ง duplicate content ก็เป็น thin content ได้เหมือนกัน
แต่ก็ใช่ว่าคอนเทนต์ที่สั้น (ไม่เกิน 200-300 คำ) จะต้องถูกจัดเป็น thin content ไปเสียหมด หากคอนเทนต์เหล่านั้นมีการอ้างอิง มีลิงค์ออกไปภายนอก และมีผู้เข้ามาคอมเมนต์ตอบโต้พอสมควร Google ก็จัดให้มันเป็น quality content ได้เช่นกัน แต่ถ้าอยากให้ปลอดภัยที่สุด คุณควรเขียนบทความให้มีจำนวนคำไม่ต่ำกว่า 400 คำเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่ถูกโยนไปตกลงในกลุ่ม thin content
Mahesh Mohan บล็อกเกอร์หนุ่มไฟแรงแนะนำวิธีเขียนคอนเทนต์ให้เข้าแก๊ปทั้งหมด 3 แบบ
1.เขียนคอนเทนต์ความยาวไม่น้อยกว่า 300 คำโดยเน้นคำที่ดีต่อ SEOs เป็นสำคัญ
2.เขียนคอนเทนต์ความยาวไม่น้อยกว่า 300 คำโดยไม่มีลิงค์เชื่อมออกไปเลย
3.เขียนคอนเทนต์ความยาวไม่น้อยกว่า 300 คำโดยมีลิงค์เชื่อมหรือข้อมูลสนับสนุนแต่ต้องมีผู้ใช้เข้ามาร่วมพูดคุยจำนวนมาก
บทลงโทษสำหรับ thin content
หากคุณถูก Google ลงโทษด้วยข้อหา “thin content penalty” คุณจะได้รับอีเมล์เตือนพร้อมคำแนะนำในการปลดการลงโทษ เนื้อหาของจดหมายประมาณนี้
“Google พบ thin content บนเว็บไซต์ของท่านซึ่งมคุณค่าน้อยหรือไม่มีเลย ปัญหาร้ายแรงนี้ทำให้ลำดับการค้นหาของ Google มีประสิทธิภาพต่ำลงและอาจส่งผลต่อความนิยมในเว็บไซต์ ดังนั้น Google จึงระบุให้เว็บไซต์ http://yourdomain.com กลายเป็นสแปม…” และเพื่อปลดแบนคุณก็ต้องทำตามคำแนะนำของ Google ตามที่ระบุต่อไป เช่นการร้องรีไรท์คอนเทนต์ จากนั้นจึงร้องขอให้ Google พิจารณาคอนเทนต์ใหม่อีกครั้ง
คำเตือนที่ขึ้นบนหน้าเว็บ
4 วิธีป้องกันไม่ให้คอนเทนต์ของคุณกลายเป็น thin content
1.ให้ความสำคัญกับธีมหลักของเว็บไซต์หรือบล็อก
Google ให้ความสำคัญกับความเป็นมืออาชีพมาก หากคุณเป็นบล็อกหรือเว็บไซต์เกี่ยวกับอาหาร คอนเทนต์ทั้งหมดก็ควรเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น นอกจากนี้คอนเทนต์แบบนี้ก็ยังดีต่อคนอ่านของคุณและทำให้พวกเขามีความจงรักภักดีกับเว็บไซต์มากขึ้นอีก
2.ต้องมีมูลค่าเพิ่ม
อย่าเขียนคอนเทนต์ด้วยตัวเองคนเดียว พยายามหาข้อมูลเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่คุณเขียนแล้วมาสรุปเพิ่มเติมในเว็บไซต์ของคุณด้วย พยายามให้คุณเป็น one stop service ที่ผู้อ่านไม่ต้องไปหาอะไรเพิ่มเติมอีก
3.ค้นหาและเน้นข้อมูลสำคัญ
อย่าเน้นความเห็นมาก คุณควรเน้นข้อมูลที่พิสูจน์ได้และเป็นจริง เหตุผลเพราะข้อมูลเหล่านั้นจะมีคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับบทความของคุณอยู่แล้ว SEO จะดีขึ้นโดยที่คุณไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก
4.เขียนให้มนุษย์อ่านอย่าคิดถึงอันดับมากนัก
อย่าลืมจุดมุ่งหมายของเว็บไซต์ บล็อก หรือเพจของคุณ มันเกิดมาเพื่อให้คนอ่านที่เป็นเหมือนเพื่อนของคุณได้มาพูดคุย ศึกษา หาความรู้เพิ่ม ดังนั้นหากคุณเขียนโดยคิดถึงพวกเขาเป็นหลักพวกเขาจะตอบแทนคุณเอง อย่าเขียนเพื่อให้ Google หาคุณเจอแต่เขียนเพื่อให้คนอ่านหาคุณเจอดีกว่า