คำพูดที่ว่า “คนไทยอ่านหนังสือไม่เกินวันละ 8 บรรทัด” เห็นจะใช้ไม่ได้เสียแล้ว เพราะจากพฤติกรรมการอ่าน โดยเฉพาะกระทู้เผือกๆ ทั้งหลาย ทำให้พบว่าคนไทยอ่านหนังสือเยอะขึ้นแล้ว
แต่ก็นั่นล่ะ แม้จะอ่านหนังสือหรือตัวหนังสือมากบรรทัดขึ้น ก็ยังมีน้อยคนนักที่อ่านหนังสือเพื่อเพิ่มพูนความรู้หรือพัฒนาทักษะ ผู้เขียนเห็นว่าก็ยังคงมีน้อยอยู่ เพราะส่วนใหญ่เน้นการอ่านเพื่อความบันเทิงมากกว่า ซึ่งอันที่จริงก็ไม่ผิดอะไร
เพราะเข้าใจดีว่าการอ่านหนังสือที่เน้นความรู้เพิ่มอาหารสมองดูจะกลายเป็นเพิ่มความเครียดให้กับชีวิต แทนที่จะเป็นกิจกรรมยามว่างเป็นช่วงเวลาพักผ่อนหลังจากพบเจออะไรที่หนักๆ มาทั้งวันแล้วก็ตาม
เราจึงขอเสนอ How to ดีๆ มาแนะนำ เพื่อให้คุณเห็นข้อดูของการอ่านหนังสือ ที่สำคัญเทคนิคเหล่านี้เหมาะกับนักธุรกิจอย่างมากด้วย
You’ll Find New Perspectives.
คุณไม่สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้จากการไปตามอีเว้นท์หรืออ่านจากบล็อกโพสต์ต่างๆ แต่ประสบการณ์ ทัศนคติ และความรอบรู้ของนักธุรกิจผู้ประสบความสำเร็จท่านอื่นๆ จะช่วยเหลาความคิดของคุณให้แหลมคมในเชิงธุรกิจ ซึ่งแหล่งที่มาของทั้งหมดที่พูดนี้ล้วนอยู่ในหนังสือ โดยเฉพาะถ้าคุณมีงบฯที่จำกัดแล้วด้วย เมื่อคุณอ่านหนังสือ ความสนใจของคุณจะโฟกัสไปยังสิ่งที่คุณทำตรงหน้า มือถือหรือหน้าจอคอมพิวเตอร์จะไม่สามารถมาทำให้คุณวอกแวกได้
Books Make You Smarter
จริงแท้แน่นอนทีเดียว และยังเป็นหลักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการทดสองแล้วด้วยว่าหนังสือนั้นดีต่อสมอง และยิ่งถ้าคุณกำลังดำเนินธุรกิจอยู่มันจะทำให้คุณอยู่ระดับแถวหน้าของสายงานเลยทีเดียว
ตามหลักจิตวิทยา มีข้อแตกต่างสำหรับความฉลาดแต่ละประเภท ดังนี้
- “Emotional intelligence” คือความสามารถที่จะเข้าใจและตอบสนองต่ออารมณ์ของตัวเองและคนอื่น
- “Fluid intelligence” คือความสามารถในการแก้ปัญหา
- “Crystallized intelligence” คือความรู้ที่คุณมี
ทั้งนี้ การอ่านจะสามารถหล่อเลี้ยงความชาญฉลาดทั้ง 3 ประเภทได้ และเป็นผลดีต่อความจำของคุณอีกด้วย นอกจากนี้ จากผลการวิจัยด้านปราสาทวิทยาเวอร์ชั่นออนไลน์ ยังระบุว่า คนที่มีอาการทางจิตควรจะถูกกระตุ้นด้วยการทำกิจกรรม เช่น การอ่านหนังสือ หรือการแก้ปัญหาโจทย์ทางคณิตศาสตร์ ดีกว่าไปกระตุ้นความทรงจำ ซึ่งทฤษฎีนี้สามารถทำได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่
You’ll clear your head and chill out.
การสร้างธุรกิจกินพลังงานและพลังความคิดของคุณไปมากมาย แม้แต่ช่วงเวลาที่คุณไม่ได้ทำงานก็ตามที มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จิตใจของคุณจะเลิกคิดในสิ่งที่กำลังทำอยู่
แต่หนังสือเป็นการหยุดพักชั่วคราวออกจากโลกป่าเถื่อนของธุรกิจได้ดี เพียงแค่คุณหยิบหนังสือเล่มนึงก็สามารถออกไปท่องเที่ยวยังอีกโลกหนึ่งไดแล้ว เสมือนว่าคุณหลุดเข้าไปอยู่ในโลกๆ หนึ่งเลยทีเดียว
นอกจากนี้ นักวิจัยแห่งUniversity of Sussex พบว่า การอ่านจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมความเครียดได้ดีกว่าการฟังเพลงหรือการเดินเล่นด้วยซ้ำ
“มันไม่สำคัญหรอกว่าคุณจะอ่านหนังสืออะไร การสูญเสียความเป็นตัวเองเพื่อที่จะจดจ่ออยู่กับหนังสือ มันทำให้คุณหนีจากความกังวลและความเครียดทั้งปวงได้ แล้วคุณจะหลุดเข้าสู่ขอบเขตแห่งจินตนาการของผู้เขียนได้” Dr. David Lewis นักวิจัยชื่อดัง เปิดเผยเรื่อนี้กับ The Telegraph พร้อมกับกล่าวว่า มันมากกว่าการเบี่ยงเบนความสนใจ แต่การอ่านเป็นกิจกรรมที่สัมพันธ์กับจินตนาการ ในฐานะที่มันเป็นคำที่พิมพ์ลงบนหน้ากระดาษ ซึ่งจะไปกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์และการตื่นตัวโดยพื้นฐาน
Self-help books actually help people.
การดำเนินธุรกิจเป็นแรงปรารถนาอันแรงกล้า แต่คุณอาจะกำลังทุกข์ทรมานกับปัญหาทั้งจากเพื่อนฝูงและครอบครัว และขณะที่กำลังติดอยู่กับการดูแลตัวเองนั้น ก่อนที่คุณจะเดินผ่านจากชั้นวางหนังสือประเภท self-help ในร้านหนังสือแห่งหนึ่ง ลองพิจารณาหนังสือเหล่านี้ อาจจะช่วยคุณได้
ทั้งนี้ ต้นกำเนิดของหนังสือประเภท self-help คือหนังสือที่ช่วยคนอ่านจากความทุกข์จากแรงกดดันนานาได้ โดย The University of Manchester ตีพิมพ์รายงานฉบับหนึ่งซึ่งมีบทสรุปว่านอกจากจะช่วยคนอ่านแล้วยังสามารถช่วยคนอื่นๆ จากแรงกดดันได้ด้วย ซึ่งนักจิตวิทยาเรียกลักษณะนี้ว่า “bibliotherapy”
และนี่คือหนังสือธุรกิจ 4 เล่ม ที่เหมาะแก่การเริ่มต้นอ่าน
1. Predictably Irrational by Dan Ariely.
ในฐานะเจ้าของธุรกิจคุณคงต้องเผชิญกับการตัดสินใจอยู่ทุกวัน สิ่งที่เราไม่ได้ตระหนักคือการตัดสินใจหลายครั้งในทุกๆ วันเราไม่ได้ทำจากการใช้เหตุใช้ผล ดังนั้น หนังสือเล่มนี้จะอธิบายว่าจิตใจเราทำงานอย่างไร และทำไมถึงมีแนวโน้มที่จะตัดสินใจอย่างไร้เหตุไร้ผล
2. Think and Grow Rich by Napoleon Hill.
หนังสือเล่มนี้เป็นเล่มแรกๆ ที่ตั้งคำถามว่า “อะไรทำให้เป็นผู้ชนะ?”
มันคือหนังสือที่ปลุกเร้าได้สูงมาก ไม่ว่าจะเป็น ความเป็นผู้นำ, ลักษณะส่วนตัวของผู้ชนะ และประวัติความสำเร็จในอดีต โดยหนังสือเล่มนี้มุ่งไปที่นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จท่านอื่นๆ อาทิ Henry Ford, Thomas Edison, และ Andrew Carnegie เพราะบทเรียนทางประวัติศาสตร์จะเป็นกระดิ่งนำทางให้เราเดินได้ถูกต้อง ฉะนั้นหนังสือ “Think and Grow Rich” คุณค่าแก่การอ่านจริงๆ
3. The Checklist Manifesto by Atul Gawande.
นักธุรกิจทุกๆ คนต้องการประสบความสำเร็จ แต่ชัดเจนอยู่แล้วว่าไม่มีทางทำได้หากปราศจากทีม หนังสือเล่มนี้จึงบอกรายละเอียดว่าทำอย่างไรที่จะจัดการและเสริมพลังให้แก่ทีมให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด และในฐานะที่ผู้เขียน Atul Guwande เป็นศัลยแพทย์ ทำให้รู้ดีถึงกระบวนการที่จะทำงานร่วมกันได้อย่างให้ผลลัพธ์ดีที่สุด
4. Good to Great by Jim Collins.
ในโลกแห่งธุรกิจมักจะต้องมีการปรับปรุงอยู่ตลอดเวลา หนังสือเล่มนี้ได้หยิบเอา 28 บริษัทที่เปลี่ยนจาก “ดี” เป็น “ดีเยี่ยม” และดีขึ้นไปกว่านั้นอีก โดยได้บอกขั้นตอนด้วยว่าพวกเขาทำกันอย่างไร หนังสือเล่มนี้เป็นข้อพิสูจน์ว่าหลายบริษัทไม่จำเป็นต้อง “born great” แต่มาจากกลยุทธ์ทีละขั้นทีละขั้นตอนกระทั่งไปยังจุดสูงสุดเหมือนกัน
ดังนั้น หวังว่าสิ่งเหล่านี้จะจุดประกายคุณให้รักการอ่านได้ ไม่มีอะไรในโลกนี้จะดีไปกว่าการอ่านอีกแล้ว ดังนั้นหยิบหนังสือขึ้นมาไม่ว่าจะตอนนี้หรือตอนไหนเริ่มกันเลยเถอะ.