เคยสงสัยไหมว่าทำไมบางแบรนด์ถึงสื่อสารได้โดนใจทั้งวัยรุ่น วัยทำงาน ไปจนถึงวัยเกษียณ ราวกับว่าไม่ว่าจะคนรุ่นไหนก็ตอบรับแบรนด์นั้นอย่างล้นหลาม? เรื่องนี้ไม่ได้บังเอิญ แต่คือ “ศาสตร์” และ “ศิลปะ” ในการทำความเข้าใจผู้บริโภคในแต่ละช่วงวัย หรือที่เรียกกันว่า Generational Marketing
เพราะอะไรการทำความเข้าใจ “รุ่น” ของผู้บริโภคจึงสำคัญ : หลายแบรนด์ชอบเหมารวมว่า “ลูกค้าทุกคนเหมือนกัน” แล้วใช้กลยุทธ์การตลาดแบบหว่านแห ซึ่งอาจได้ผลลัพธ์ปานกลางทั่วไป แต่ถ้ามองลึก ๆ จะเห็นว่าแต่ละรุ่นมีพื้นฐานชีวิตและประสบการณ์ต่างกัน เช่น เติบโตในช่วงเศรษฐกิจ หรือสงคราม ที่ต่างกัน หรือ ดูสื่อบันเทิง, โฆษณา, ใช้เทคโนโลยี ที่ต่างกัน ทำให้มองโลกและมอง “แบรนด์” ด้วย Values และประสบการณ์ไม่เหมือนกัน สิ่งนี้ทำให้การสื่อสารแบบเดียวอาจไม่โดนใจคนทุกวัยที่หว่านแหไป
ดังนั้น หากต้องการขายผลิตภัณฑ์เดียวกันให้กับหลายเจเนอเรชัน ต้องเข้าใจรูปแบบชีวิตและความต้องการของแต่ละกลุ่ม และปรับภาษาหรือช่องทางที่ใช้สื่อสาร เพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงกับผู้รับสาร โดยในตอนนี้โลกมี 5 Generation ที่เป็นกำลังซื้อดังนี้คือ
- Silent Generation (1928–1945) “รุ่นเติบโตมากับยุคสงครามและเศรษฐกิจฝืดเคือง” บุคลิกลักษณะสำคัญ คือ“ประหยัด ระมัดระวัง” และ “ให้ความสำคัญกับความมั่นคง” Apple จึงทำการตลาดกับคนกลุ่มนี้ โดยไม่ได้ส่งจดหมายกระดาษไปหาคนกลุ่มนี้บ่อย แต่พยายามสื่อสารถึงความเป็นมิตรและช่วยเหลือผ่าน Apple Store และ Genius Bar ในการให้คำปรึกษา ช่วยให้วัยรุ่นจนถึงวัยสูงอายุเข้าใจและเข้าถึงเทคโนโลยีได้ง่าย
- Baby Boomers (1946–1964) “รุ่นที่เติบโตมากับโทรทัศน์สีและการขยายตัวของสังคมหลังสงคราม”บุคลิกลักษณะสำคัญ ให้ความสำคัญกับความมั่นคงและ “ความเป็นมืออาชีพ” แบรนด์ที่ทำตลาดมานานหรือดูน่าเชื่อถือจะได้ใจพวกเขาง่ายขึ้น Apple สื่อสารจุดแข็งอย่างการบริการที่ง่ายต่อการใช้งานและการซัพพอร์ต (Apple Support) เพื่อตอบโจทย์คนที่อยากได้เทคโนโลยีที่ “ไม่ปวดหัว” — Boomers เห็นว่าคุ้มและน่าเชื่อถือ
- Generation X (1965–1980) “รุ่นที่โตมาพร้อมยุค MTV และอินเทอร์เน็ตยุคต้น” บุคลิกลักษณะสำคัญ คือการมองโลกแบบระวังและชอบความจริง Apple จึงไม่ได้โฟกัส Gen X ด้วยแคมเปญย้อนยุค 80s เหมือนซีรีส์ แต่ “Think Different” ก็มีความเป็นไอคอนและน่าเชื่อถืออยู่แล้ว Gen X เห็นว่า “มันใช้จริงง่าย ประหยัดเวลาฉัน” จึงเทใจให้ Apple
- Millennials (1981–1996) “รุ่นที่โตมากับ Dot com บูม เปลี่ยนอาชีพเพราะหลังเจอวิกฤตเศรษฐกิจปี 2008 เชื่อเรื่องไลฟ์สไตล์ประสบการณ์และต้องการ Purpose จากแบรนด์” มีพฤติกรรมและความเชื่อว่า “ความมั่นคงเป็นสิ่งไม่แน่นอน” ให้ความสำคัญกับ “ประสบการณ์” มากกว่าสิ่งของ รูปแบบงานจึงชอบ Remote work หรือ Freelance มองหา “Purpose” ในแบรนด์ อยากให้แบรนด์มีทัศนคติหรือพันธกิจทางสังคม Apple ตอบโจทย์ด้วยงานดีไซน์เท่ ๆ และเล่าเรื่องผ่านงานสร้างสรรค์ เช่น วิดีโอเปิดตัวแบบโปรดักชันหรู เสริมด้วยการเน้นเทคโนโลยีเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม Millennials จึงเห็นว่าซื้อ Apple เท่และได้ประโยชน์
- Generation Z (1997–2012) “เด็กที่โตมากับสมาร์ตโฟนเป็นปัจจัยที่ 5 ถูกเลี้ยงดูบนแพลตฟอร์มไวรัลอย่าง TikTok และ Instagram Reels” บุคลิกลักษณะสำคัญ ชีวิตอยู่บนโลกโซเชียล มีความคิดวิจารณ์สูงและเชี่ยวชาญเรื่องเทคโนโลยี ไม่มีเวลาสนใจกับโฆษณาที่ยืดเยื้อ ชอบคอนเทนต์สั้น กระชับ ตอบโจทย์ไว Apple ใช้คลิปวิดีโอโปรโมตที่ตัดต่อเร็ว ดึงดูดสายตา ทั้งยังใช้อินฟลูเอนเซอร์ใน TikTok มารีวิวแกะกล่องสินค้า (unboxing) แบบเร่งเร็ว เพื่อให้ Gen Z ติดตาม
“Generational Marketing” คือแกนสำคัญของการสื่อสารแบรนด์อย่างมีประสิทธิภาพ ถ้ารู้ว่าจะเข้าหาคนรุ่นต่าง ๆ ยังไง จะสามารถปรับจุดเด่นและขายได้ตรงจุดได้ยิ่งขึ้น ในมุมของแบรนด์ใหญ่ ๆ อย่าง Apple จะเห็นได้ว่าแบรนด์ไม่ทิ้งเจนเก่า และพร้อมไปเจนใหม่เสมอ — อย่างการซัพพอร์ตผู้ใช้สูงวัยให้ง่ายที่สุด ขณะเดียวกันก็ทำให้ดีไซน์อินเทรนด์สำหรับ Gen Z/Alpha
ยิ่งรู้ลึกถึง “Generation ไหน ต้องการอะไร” มากเท่าไหร่ ก็จะสามารถปรับกลยุทธ์ให้เหมาะกับจังหวะชีวิตของแต่ละ Generation และสร้าง “แบรนด์” ที่เป็น “คู่ชีวิต” ของผู้บริโภคอย่างแท้จริง