หลายๆ ครั้งที่คนเริ่มทำธุรกิจ หรือเพิ่งจะทำการตลาดนั้นมักจะตกหลุมพลาง ข้อผิดพลาดหนึ่งขึ้นมา นั้นคือการที่ทำการตลาดด้วยงบประมาณการตลาดที่สูงเกินไป ทำให้รายได้ที่เข้ามานั้นเรียกได้ว่าขาดทุน ไม่ครอบคลุมรายจ่ายที่จ่ายไปเพื่อการตลาดเลยทีเดียว ซึ่งส่วนใหญ่จะหมดเงินไปกับการทำการตลาดที่ลดราคา เพราะคิดว่าการทำการตลาดด้วยการลดราคานั้นจะทำให้ลูกค้าสนใจ มาซื้อสินค้าและบริการ พร้อมกับอยู่กับแบรนด์นานขึ้น
ปัญหาที่เกิดกับการใช้กลยุทธ์ในการลดราคานั้นคือการขาดทุน และการที่ต้องแข่งกันลดราคาไปเรื่อยๆ ผู้บริโภคหรือกลุ่มเป้าหมาย ลูกค้านั้นไม่ได้สนใจในแบรนด์จริงๆ แต่สนใจในราคาที่ลด เมื่องบประมาณคุณหมดจะทำให้เกิดปัญหาตามมาได้ทันทีดังนั้นการทำกลยุทธ์การลดราคานั้นไม่ได้เป็นกลยุทธ์ที่ดีและไม่ใช่กลยุทธ์ที่ควรใช้ในระยะยาว สิ่งที่สำคัญของการตลาดหรือการขายที่ต้องแก้คือ การทำให้ลูกค้าสนใจซื้อและซื้อซ้ำโดยไม่ต้องมีข้อแม้ หรือข้อแลกเปลี่ยนที่เป็นส่วนลดหรือ incentive
คำตอบนั้นคือการทำ Content ที่ดีและข้อดีของการทำ Content ที่ดี คือการที่คุณสามารถปรับเปลี่ยน แก้ไข หรือเปลี่ยนแปลงกี่ครั้งก็ได้ โดยไม่มีค่าใช่จ่ายที่เพิ่มขึ้นมา โดยกระบวนการทำ Content เพื่อสร้างให้เกิดการขายและลอง Content แบบนี้เรียกว่า Content Testing
Content Testing เป็นกระบวนการทดลองในการที่จะลองการสื่อสารหลาย ๆ รูปแบบเพื่อการทดสอบดูว่า รูปแบบไหนจะได้ผลที่สุดกับกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการขึ้นมา ซึ่งเป็นกระบวนการที่สำคัญอย่างมากในการทำธุรกิจ เพราะทำให้การสื่อสารนั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยกระบวนการทำ Content Testing นี้สามารถทำได้ด้วยวิธีการที่มีขั้นตอน 3 ขั้นตอนดังนี้
1. ทดสอบ Content กับกลุ่มตัวอย่างของคุณ : เคยไหมที่ต้องรับความกดดันเรื่องยอดขายที่เข้ามาว่า เดือนนี้ต้องได้ยอดขายเท่าไหร่ขึ้นมา เพื่อให้ธุรกิจเดินหน้าต่อไปได้ ส่วนใหญ่เพื่อให้ได้ยอดที่ต้องการคือการทำการตลาดกับกลุ่ม Mass เพื่อหว่านให้คนสนใจให้มากที่สุด เพื่อให้ได้ยอดมากที่สุดตามมา แต่ปัญหาคือกลุ่มคนมาก ไม่ได้หมายความว่ามาก ดังนั้นจึงต้องมีการทดสอบเทียบกับกลุ่มตัวอย่างคุณ ว่าได้ผลไม่ได้ผล ซึ่งสามารถลองได้ดังนี้คือ
1.1 ตั้งกลุ่มทดสอบขึ้นมา : โดยแบ่งกลุ่มตัวอย่างที่จะทดสอบเป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มหนึ่งได้ Content ที่จะส่งไป อีกกลุ่มไม่ได้ แล้วลองดูว่าภายใน 1-2 เดือน Content ที่ส่งไป กับไม่ส่งไป มีผลถึงยอดขายตามมาไหม ถ้าไม่มีแสดงว่าต้องมีการแก้ไข ถ้ามีแสดงว่าได้ผล
1.2 ทำการทดสอบ Subject Line : เป็นการทดสอบหัวข้อว่าหัวข้อไหนที่จะโดนใจกว่ากัน โดยการทำ Content ที่มีหัวข้อแต่ละแบบ แต่ภาพแบบเดิม เทียบกับกลุ่มตัวอย่างที่ใข้หัวข้อเดิมและภาพเดิมดูว่า มียอดขายเพิ่มขึ้นไหม
1.3 เลือกหัวข้อที่ได้ผลที่สุด : ให้เลือกหัวข้อที่ทำให้เกิดรายได้สูงสุดขึ้นมาใช้เพื่อทำให้เกิดประสิทธิภาพที่สุด
2. สร้างสรรค์ Content ให้ถึงที่สุด : ในตอนนี้เรามีกลุ่มตัวอย่างควบคุมแล้ว ก็สามารถนำกลุ่มตัวอย่างนี้มาทดสอบไอเดียต่าง ๆ ได้แทนที่จะใช้ไอเดียเดิม ๆ เช่น การที่ทำให้อ่านข้อความได้ทั้งหมด หรือการที่ทำให้อ่านข้อความได้บางส่วน ซึ่งการที่ทำให้ข้อความอ่านได้บางส่วนได้ผลดีมากกว่า เพราะทำให้คนสงสัยจนต้องกดเข้ามาดู ซึ่งอันนี้ขึ้นกับกลุ่มเป้าหมายที่ต้องทดสอบ
หรือจะลองการใช้คำต่าง ๆ เพื่อสร้างความน่าสนใจที่จะทำให้กดเข้ามาอ่านก็ได้ อาจจะใช้วิะีการทางจิตวิทยาในการเขียนหัวข้อที่เชิญชวนให้คนมาลองอ่านโดยไม่มีความเสี่ยงใด ๆ ขึ้นมา
3. ทำการทดสอบ Content ให้สม่ำเสมอ : เมื่อได้ลองการทำการทดสอบ Content แล้ว สิ่งสำคัญต่อมาคือการสามารถทำการทดสอบ Content ให้สม่ำเสมอให้ได้ เพราะ Content ที่ได้ผลนั้นมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ อาจจะแบ่งการทดลองเป็น Phase ต่าง ๆ โดย
Phase 1. ทดสอบการมี Incentive กับไม่มีนั้นให้ผลที่แตกต่างกันไหม
Phase 2. ทดสอบหัวข้อต่าง ๆ กับ Incentive นั้นให้ผลที่แตกต่างกันไหม
ด้วยการทดสอบกับกลุ่มเป้าหมายที่เหมือนกัน มีกลุ่มตัวอย่างควบคุมในการเทียบ และการส่งข้อความไปหาที่เท่า ๆ กัน ย่อมทำให้เห็นว่า Content ไหนที่ได้ผลมากที่สุดขึ้นมา