9 เทรนด์การดีไซน์เว็บไซต์ ที่กำลังจะหายไป

  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

ThinkstockPhotos-167311492-higlight

ไม่ว่าเทคโนโลยีจะพัฒนาไปมากแค่ไหน สิ่งหนึ่งที่ยังคงอยู่คือ เว็บไซต์ แต่ในขณะเดียวกัน การดีไซน์เว็บไซต์ หรือเทรนด์การออกแบบ ก็เหมือนกับแฟชั่น ที่ไม่เคยหยุดนิ่งอยู่กับที่ พร้อมจะปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้บริโภค ตราบใดที่เราทุกคนยังมีความคาดหวัง คำนึงถึงความสะดวกสบายเป็นหลัก การออกแบบเว็บไซต์ก็ต้องพัฒนาให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงนี้

มาดู 9 เทรนด์การดีไซน์เว็บไซต์ ที่กำลังจะหายไป หรือได้รับความนิยมลดลง

1. ดีไซน์ซับซ้อนเกินไป

“น้อยแต่มาก” เป็นเทรนด์ใหม่ของการดีไซน์เว็บไซต์ ยกตัวอย่างเช่น เว็บไซต์ของ Apple ที่เน้นความเรียบง่าย ไม่ใช้สีที่ฉูดฉาดเกินไป ดูสะอาดตา ไม่รก ซึ่งเป็นการดีไซน์ที่ประสบความสำเร็จ และเป็นเว็บต้นแบบของแบรนด์ต่างๆ ทั่วโลกในปีนี้

2. Mobile Version

เว็บไซต์สวยก็เป็นเรื่องดี แต่ถ้ามี Flash ก็จะทำให้การใช้งานผ่านสมาร์ทโฟนลำบากขึ้น เพราะต้องโหลดนาน ถ้ามือถือใครเน็ตไม่แรงพอ กว่าจะเข้าเว็บได้คงหมดความอดทนกันไป

ทุกวันนี้มีนวัตกรรมที่เกี่ยวกับการออกแบบมากมาย ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานรู้สึกสนุกไปกับการเข้าเว็บไซต์ ดูตัวอย่างได้จากเว็บไซต์ Nike ที่ไม่ว่าจะใช้งานผ่านเดสก์ทอป หรือ Mobile ก็จะไม่แตกต่างกัน ทำให้ผู้ใช้งานไม่เกิดความสับสนด้วย

3. เว็บที่เต็มไปด้วยตัวหนังสือ

“ภาพ” เป็นอีกหนึ่งคอนเท้นต์ที่จะเข้ามาแทนที่ตัวหนังสือ หรือบทความยาวๆ โดยมาในรูปแบบของ Infographic และวิดีโอ ที่จะช่วยย่อยข้อมูลให้เข้าใจง่ายขึ้น

4. ต้องคลิกต่อไปยังหน้าอื่นๆ

ถ้าคุณเข้าเว็บไซต์ข่าว คุณก็จะได้เห็นหัวข้อข่าวต่างๆ ถ้าอยากรู้เรื่องไหน ก็ต้องคลิกเข้าไปในหัวข้อนั้นๆ แล้วระบบก็จะพาไปยังอีกหน้าหนึ่ง แต่สำหรับคนที่ใช้งานผ่านมือถือก็คงไม่สะดวกนัก เทรนด์ที่เห็นบ่อยๆ ในขณะนี้ จะเป็นเว็บไซต์ที่ออกแบบให้ผู้ใช้ต้อง “เลื่อนลงไปเรื่อยๆ” (โดยมีจุดสิ้นสุด) เว็บไซต์ประเภทนี้จะไม่ทำให้ผู้ใช้เกิดความรำคาญ และเนื้อหาก็ยังดูเป็นระเบียบมากขึ้นอีกด้วย

5. ไม่คำนึงถึงการใช้งานของผู้บริโภค

ในกรณีนี้การทำเว็บไซต์ต้องคำนึงถึงความสะดวกสบาย โดยเน้นการใช้งานของผู้บริโภคเป็นหลัก เมื่อทราบกลุ่มเป้าหมายแล้ว ต้องให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของผู้ใช้ด้วย เพื่อให้ใช้งานง่ายที่สุด One page website หรือเว็บไซต์ที่มีหน้าเดียว จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แต่ต้องใช้กราฟฟิคที่น่าสนใจควบคู่ไปด้วย

คุณสามารถใส่เนื้อหาทั้งหมดลงไปในหน้าเดียว โดยการแบ่งเนื้อหาตามหัวข้อ และเลื่อนดูลงมาแบบยาวๆ ซึ่งเหมาะกับการใช้งานบนสมาร์ทโฟนอย่างมาก เพราะสะดวก และใช้งานง่ายกว่าการคลิกเพื่อไปยังหน้าต่อไป แต่ในขณะเดียวกันเว็บประเภทนี้ก็ต้องมีฟังค์ชั่น Manu Bar ไว้สำหรับรองรับคนที่ใช้งานผ่านเดสก์ทอปด้วย

6. ไม่มีการจัดระเบียบคอนเทนต์

รูปแบบการจัดวางคอนเทนต์ที่กำลังได้รับความนิยมในขณะนี้ จะคล้ายๆ กับ แผ่นกระเบื้อง ที่มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมวางเรียงต่อๆ กัน ถ้ายังคิดภาพไม่ออก ก็คล้ายๆ กับ Pinterest ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้

ทั้งนี้ การจัดวางคอนเทนต์แบบนี้จะช่วยให้เว็บไซต์ดูเป็นระเบียบมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้เหมาะสมกับคอนเทนต์ทุกประเภทเสมอไป

7. ใช้ภาพ Stock Photo

การใช้ที่ถูกลิขสิทธิ์ก็เป็นเรื่องที่ดี เราไม่ได้บอกว่าการใช้ภาพจาก Stock Photo เป็นเรื่องไม่ดี หรือล้าสมัย แต่ถ้าคุณมีตัวเลือกที่ดีกว่านั้น ก็ควรใช้ภาพที่ใกล้เคียงกับชีวิตประจำวัน และสื่อสารกับผู้บริโภคได้ การใช้ภาพจาก Stock Photo ที่ถ่ายในห้องสีขาว พื้นหลังสีขาว แอ็คท่าซ้ำไปซ้ำมา อาจดูไม่น่าสนใจเท่าไรนัก

8. ตัวอักษร และ Typography เชยๆ

รูปแบบตัวอักษร หรือ Font ที่ใช้ในการออกแบบ และใช้ในบทความ จะเกี่ยวข้องกับหัวเรื่อง หัวข้อ เนื้อหา และประโยคสำคัญที่ต้องการจะเน้น ต้องมีความโดดเด่น ดึงดูดความสนใจ และง่ายต่อการสื่อสารไปยังผู้อ่าน บางครั้งถ้าคุณต้องการตัวอักษรที่เป็นเอกลักษณ์ ก็ต้องยอมจ่ายเงินซื้อ

9. 3D Designs

การออกแบบเว็บไซต์ 3 มิติ การเล่นกับแสงเงา การไล่ระดับสี ในช่วงแรกทุกเว็บก็จะดีไซน์เว็บให้เป็น 3D เหมือนกันหมด มีฟังค์ชั่นต่างๆ มากมาย แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความแฟนตาซีเหล่านี้ จะกลายเป็นความรำคาญ และทำให้เสียสมาธิในการใช้งานเว็บ ในกรณีที่คุณชอบความเรียบง่าย เว็บไซต์ประเภทนี้อาจไม่เหมาะคุณ

ทั้ง 9 ข้อที่กล่าวไป ถ้าในเว็บไซต์ของคุณมีสิ่งเหล่านี้อยู่ ก็ลองพิจารณาดูว่า ถึงเวลาปรับเปลี่ยนเว็บไซต์แล้วหรือยัง จริงๆ รูปแบบของเว็บไซต์ ก็ขึ้นอยู่กับกลุ่มเป้าหมายของคุณ ว่าพวกเขาต้องการอะไร หลักใหญ่ใจความคือ เว็บไซต์ของคุณต้องให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ และตอบคำถามได้ครบถ้วน ดีกว่ามีเว็บสวย แต่ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย

 

แหล่งที่มา


  •  
  •  
  •  
  •  
  •