การเริ่มทำแบรนด์ใหม่ คนทำแบรนด์ที่ไม่มีประสบการณ์มักจะมุ่งเน้นที่การสร้างผลลัพธ์ทันที แต่การทำเช่นนี้โดยขาดการวิเคราะห์ที่ถี่ถ้วน อาจจะนำไปสู่การทำงานแบบไม่เป็นระบบ ซึ่งอาจส่งผลให้แบรนด์ไม่เติบโตอย่างที่คาดหวัง การศึกษาและวิเคราะห์ประวัติและบริบทของแบรนด์อย่างลึกซึ้งมีความสำคัญเพื่อให้การทำแบรนด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หลาย ๆ ครั้งธุรกิจมักมอบหมายให้หน่วยงาน บุคลากรใหม่เข้ามาดูแลแบรนด์ เพื่อช่วยให้เกิดมุมมองที่แปลกใหม่ต่อแบรนด์และการต้องการแสดงผลลัพธ์อย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจจะเป็นความผิดพลาดได้ ทำให้แบรนด์อาจไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควรในระยะยาว ดังนั้นก้าวแรกที่สำคัญสำหรับคนทำแบรนด์คือการศึกษาประวัติและบริบทของแบรนด์อย่างละเอียด โดยใช้กระบวนการในการวิเคราะห์แบรนด์
การวิเคราะห์แบรนด์อย่างง่าย ประกอบด้วย 3 ขั้นตอนหลัก ได้แก่ การค้นหา (Discovery) การทดสอบ (Testing) และการติดตามผล (Tracking) ซึ่งแต่ละขั้นตอนจะช่วยให้ได้รับข้อมูลเชิงลึกและมุมมองที่ชัดเจนเกี่ยวกับสถานะของแบรนด์
- การค้นหา (Discovery)
ขั้นตอนแรกคือการศึกษาต้นกำเนิดของแบรนด์ เช่น ประวัติการก่อตั้งแบรนด์ ผู้ก่อตั้ง และการเดินทางของแบรนด์ตลอดการก่อตั้ง การเข้าใจต้นกำเนิดช่วยให้สามารถเข้าถึงและเข้าใจถึง Brand Culture และเป้าหมายเดิมของแบรนด์ ยกตัวอย่างเช่น หากคุณเป็นผู้จัดการแบรนด์หนึ่ง การเดินทางไปเมืองที่แบรนด์นั้นเกิด หรือเมืองที่มีอิทธิพลต่อแบรนด์ ก็จะช่วยให้เข้าใจถึงวัฒนธรรมที่มีผลต่อแบรนด์มากขึ้น
การศึกษาผลงานของการทำแบรนด์ก่อนหน้าก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะอาจมีแนวทางการทำงานเดิมที่สามารถนำมาปรับใช้ได้อีกทั้งการทำวิจัยเชิงคุณภาพ เช่น การสัมภาษณ์ลูกค้า การสำรวจข้อมูลจากทีมที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการจัดกลุ่มสนทนา จะช่วยให้ผู้จัดการสามารถเข้าใจความคิดเห็นและความรู้สึกที่ลูกค้ามีต่อแบรนด์ได้ดียิ่งขึ้น
- การทดสอบ (Testing)
เมื่อเสร็จสิ้นขั้นตอนการค้นหาแล้ว การทดสอบข้อมูลที่รวบรวมจะช่วยให้สามารถตรวจสอบข้อมูลในเชิงสถิติ เช่น การทำแบบสอบถามเพื่อวัดระดับการรับรู้แบรนด์ การตัดสินใจของลูกค้า และการประเมิน Customer Journey ในกระบวนการซื้อสินค้าตัวอย่างคำถามที่สามารถใช้ได้ เช่น
- คำถามเพื่อจำแนกกลุ่มลูกค้า เช่น ความถี่ในการบริโภค
- คำถามเกี่ยวกับการรับรู้แบรนด์ เช่น การคิดถึงแบรนด์ที่ชอบ
- คำถามเกี่ยวกับภาพลักษณ์แบรนด์ เช่น แบรนด์เหมาะสำหรับโอกาสไหน
- คำถามเกี่ยวกับการพิจารณาแบรนด์ เช่น แบรนด์ที่ลูกค้าอยากซื้อในเดือนนี้
ข้อมูลจากการทดสอบเหล่านี้จะช่วยให้เข้าใจภาพลักษณ์ของแบรนด์และ Customer Journey ของการตัดสินใจของลูกค้าในแต่ละขั้นตอนได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
- การติดตามผล (Tracking)
ข้อมูลจากการค้นหาและการทดสอบสามารถนำมาใช้ในการวางแผนกลยุทธ์และกำหนดงบประมาณ การติดตามผลไม่ควรจบเพียงยอดขายเท่านั้น แต่ควรมุ่งเน้นที่การติดตามดัชนีคุณภาพของแบรนด์ เช่น การวัดระดับการรับรู้แบรนด์และความแข็งแกร่งของแบรนด์ในตลาด ซึ่งการใช้บริการติดตามแบรนด์เช่น Tracksuit ช่วยให้สามารถวัดผลได้อย่างต่อเนื่องและช่วยให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากการดำเนินกลยุทธ์ที่กำหนดไว้ ดัชนีชี้วัดคุณภาพของแบรนด์ควรติดตามเป็นระยะ ๆ เช่น ทุกปี เพื่อให้สามารถปรับแผนกลยุทธ์ตามข้อมูลเชิงลึกที่ได้รับจากการติดตามผลลัพธ์
การวิเคราะห์แบรนด์อาจใช้เวลามาก แต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการวางแผนการตลาดที่มีประสิทธิภาพ การกำหนดเวลาที่เหมาะสมและการเริ่มต้นทำงานอย่างรวดเร็วช่วยให้สามารถสร้างผลลัพธ์ที่ดีกว่าในระยะยาวได้ เช่น หากปีงบประมาณเริ่มในเดือนตุลาคม ควรเริ่มทำวิจัยตั้งแต่เดือนมีนาคม เพื่อให้มีเวลาเพียงพอในการวางแผนกลยุทธ์ที่ครอบคลุม
การวางแผนการตลาดอย่างมีประสิทธิภาพต้องเริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์สถานการณ์ของแบรนด์ การวิจัยและวางแผนที่ดีช่วยเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในตลาด การเริ่มต้นทำงานเร็วและการจัดการเวลาที่มีประสิทธิภาพจะช่วยให้แบรนด์สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน