Brand Purpose ที่ดี ต้องทำมากกว่าพูด

  • 1
  •  
  •  
  •  
  •  

 

คงจำกันได้ในปี 2017 แบรนด์ Pepsi ได้ออกโฆษณาใหม่ที่มี Kendall Jenner โดยมีเนื้อเรื่องถึงการประท้วงเรื่องความแตกแยกของสังคมแล้วสุดท้าย Kendall Jenner ได้ทำให้เหตุการณ์สงบลง ระหว่างคนประท้วงกับตำรวจ ด้วยการยื่น Pepsi เพื่อสลายความขัดแย้งขึ้นมา ซึ่งทีม Pepsi ในตอนนั้นต่างก็คิดว่าโฆษณานี้ต้องได้ผล เพราะกระแสในช่วงนั้นในเรื่อง Black Lives Matter กำลังมาแรง และความขัดแย้งระหว่างสังคมกับตำรวจก็กำลังเป็นกระแสอย่างมาก ทำให้โฆษณาชุดนี้ดูเหมือนจะเป็นโฆษณาที่สร้างแรงบันดาลใจ จับใจกลุ่มคนรุ่นใหม่ แต่กลับกลายเป็นว่าทุกอย่างกลับพังพินาศภายในไม่กี่ชั่วโมงที่โฆษณาเผยแพร่ออกไป

คำถามสำคัญคือ ทำไมถึงล้มเหลว? มีนักวิเคราะห์หลาย ๆ คนบอกว่าเป็นโฆษณาที่ “tone-deaf” แต่ในความจริงแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นคือ Pepsi เข้าใจผิดว่า การมีเจตนาดี เท่ากับ การเล่าเรื่อง (Story) ที่ดี โดยทีมงานทำโฆษณา Pepsi คิดว่าแค่แสดงให้เห็นกลุ่มสังคมผู้ประท้วงรวมพลังร่วมกันและมีคำนิยามเชิงบวก ก็เพียงพอแล้ว แต่ในความเป็นจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้นเพราะคนรู้สึกห่างไกลจากความเป็นจริงและอารณ์ของคนดูอย่างมาก

แบรนด์ส่วนใหญ่ที่บอกว่าขับเคลื่อนด้วย Brand Purpose” จริง ๆ แล้ว ไม่รู้ว่าจะเล่าเรื่องอย่างไรให้คนเชื่อมโยงและมีความรู้สึกเชื่อมโยงไปด้วย ในยุคนี้มีความเชื่อว่า ผู้บริโภคอยากสนับสนุนแบรนด์ที่มีจุดยืน (Values) ชัดเจน โดยจากการศึกษาของ HBR พบว่า 64% ของผู้บริโภคเกิดความผูกพันกับแบรนด์เมื่อรู้สึกว่า “มีค่านิยมตรงกัน” ซึ่งดูเหมือนจะดีสำหรับการตลาด แต่ปัญหาคือ ส่วนใหญ่ตีความผิด โดยคิดว่า “ถ้าคนชอบแบรนด์ที่มีคุณค่า สิ่งที่ต้องทำคือการประกาศค่านิยมหรือ Brand Purpose ของตัวเองให้ Mass ที่สุดขึ้นมาให้ได้ เช่น ทำโฆษณาที่มี Copy ใหญ่ ๆ ไม่ว่าจะพูดเรื่อง “ความยั่งยืน”“ความเท่าเทียม” “ทำโลกให้น่าอยู่ขึ้น” แต่ในความจริงแล้ว Copy ใหญ่ ๆ เหล่านี้เป็นแค่ Statements แต่ไม่ใช่ Story ว่า Purpose ของแบรนด์มีเรื่องราวอย่างไรถึงต้องมาทำเรื่องนี้ สนับสนุนเรื่องนี้ ดังนั้น การเล่าเรื่องราว ต้องมี “Hero” มี “Challenge” และมี “Changes” แต่แบรนด์ส่วนใหญ่กลับตั้งตัวเองเป็นฮีโร่ แทนที่จะเป็นคนดูหรือผู้บริโภค เพื่อที่จะเล่าเรื่อง Brand Purpose ให้ดีต้องรู้จัก 4 กฎของการเล่า “Purpose-Driven Story”

 

 

  1. พลิกมุม: คนดูต้องเป็น “พระเอก” (Audience as Hero) ไม่ใช่แบรนด์ เช่น Nike ที่เล่าเรื่องราวผ่าน “คนจริง” ที่ก้าวข้ามอุปสรรค เช่น Colin Kaepernick, Serena Williams หรือใครก็ตามที่วิ่งมาราธอนครั้งแรก และ Nike ทำตัวเป็น Mentor ที่คอยสนับสนุน ไม่ใช่เป็นพระเอก
  2. Show, Don’t Tell” — ลงมือให้เห็น เช่น Patagonia เคยลงโฆษณาใน New York Times โดยบอกว่า “Don’t Buy This Jacket” เพื่อเตือนว่า “อย่าซื้อเสื้อเกินจำเป็น” เพราะกระทบสิ่งแวดล้อม เป็นการยืนยันจุดยืนด้านความยั่งยืน และคนจึงเชื่อถือ เพราะ “ทำจริง” ให้เห็น
  3. สร้าง “การเปลี่ยนแปลง” แทน “การขายของ” เช่น Dove บอกได้ว่า “เชื่อใน Body Positivity” ด้วยการทำ “Real Beauty Campaign” เป็นการนำเสนอกระบวนการ Transformation ให้คนดูรู้สึกตามและเปลี่ยนตัวเอง ซึ่งแบรนด์ไม่ได้แค่ขายครีม แต่เปลี่ยนความคิดของผู้หญิงเรื่องความงาม
  4. เจาะจง-จับต้องได้ (Specific & Real) หลาย ๆ Purpose นั้นฟังดูดี แต่ถ้าเป็นแค่คำพูดลอย ๆ มักจะไม่ได้ผล ถ้าแทนด้วย “การเปลี่ยน Action ของกลุ่มเป้าหมายมาร่วมกับ Action แบรนด์” ก็จะจับต้องได้มากกว่า มีพลังกว่ามาก

วิธีเช็กแบรนด์ของคุณ: Audit Storytelling แบบง่าย ๆ โดยถามตัวเอง 4 ข้อนี้:

  1. ใครคือฮีโร่ในเรื่อง? ถ้าคำตอบคือ “แบรนด์” ต้องคิดใหม่ ลูกค้าควรเป็นพระเอกที่ผ่านการเปลี่ยนแปลง
  2. แบรนด์ได้ช่วย “เปลี่ยนแปลง” อะไรให้คนดูบ้าง? ต้องระบุชัดว่า ชีวิตลูกค้าเปลี่ยนไปอย่างไรผ่านแบรนด์
  3. แบรนด์แค่พูด หรือได้ลงมือทำจริง? ต้องมีหลักฐานที่จับต้องได้ อย่าพูดลอย ๆ โดยไม่ได้ทำ
  4. ผู้ชมพร้อมจะเล่าเรื่องนี้ต่อไหม? ถ้าเรื่องยังเป็นนามธรรมเกินไป อาจไม่ได้ผล ต้องทำให้เป็นรูปธรรมและเล่าง่าย

 

 

เรื่องนี้จึงสำคัญในระยะยาว เพราะ Purpose-Driven Storytelling เป็นเรื่อง “แบรนด์ในบทบาท Mentor ที่ยืนเคียงข้างผู้บริโภค แบรนด์ที่เข้าใจจุดนี้ จะไม่เพียง “ขายของ” แต่จะ Community ขึ้นมาได้ ถ้า “Purpose” ของคุณไม่สร้างการเปลี่ยนแปลงจริง ๆ ในชีวิตลูกค้า จะกลายเป็นเรื่องเสียหายทันที ดังนั้นการใช้ Brand Purpose แบรนด์ควรลงมือทำได้จริง ๆ


  • 1
  •  
  •  
  •  
  •  
Molek
Head of Strategic Marketing ใน Integrated Service Agency ที่หนึ่ง ผู้หลงใหลในหลาย ๆ ที่มีความอยากรู้และเรียนรู้ในเรื่อง Startup, นวัตกรรม, การตลาด จากมุมมองหลาย ๆ ด้านและวัฒนธรรมของแบรนด์ต่าง ๆ