7 ความผิดพลาดในการทำ e-mail marketing

ในทุกวันนี้การติดต่อกับ Consumer และทำให้ Consumer อยู่ในวงจรของการเป็นลูกค้าที่ซื้อนั้นเป็นเรื่องสำคัญ เพราะการที่จะสร้างลูกค้าใหม่นั้นยากกว่าการรักษาลูกค้าเก่าของตัวเองเอาไว้ และการใช้ลูกค้าเก่ามาช่วยในการประชาสัมพันธ์เพื่อดึงลูกค้าใหม่นั้นเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการทำการตลาดแบบยั่งยืนอีกด้วย แถมทำให้ประหยัดงบการทำการตลาดไปอย่างมาก ทั้งนี้ในการที่จะสร้างความสัมพันธ์แบบนี้ขึ้นมา การติดต่อหรือดูแลลูกค้าเก่าเอาไว้นั้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก ซึ่งวิธีการหนึ่งในการติดต่อลูกค้าไว้ตลอดเวลานั้นคือการใช้ email marketing นั้นเอง

เครื่องมือ email marketing นั้นในต่างประเทศนับว่าเป็นเครื่องมือที่สำคัญอย่างมากในการที่จะช่วยพูดคุยกับลูกค้าโดยตรง และนำเสนอสินค้าและบริการให้ลูกค้าโดยตรงได้เลย แถมยังเป็นเครื่องมือที่ให้กลุ่มลูกค้าที่ติดต่อผ่านอีเมล์ สามารถชักชวนเพื่อนมาซื้อสินค้าได้ด้วย จากการส่งต่ออีเมล์ที่น่าสนใจออกไปให้เพื่อน ๆ หรือคนรู้จักตัวเอง แต่การทำ email marketing นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีข้อผิดพลาดมากมายที่สามารถเกิดขึ้นได้ ซึ่งวันนี้เราจะมารู้จักข้อผิดพลาดที่มักเกิดขึ้นกับการทำ email marketing ส่วนใหญ่กัน

1. ไม่ได้มี Call to action ที่ชัดเจน : การทำ email marketing ที่ดีนั้น ต้องคิดถึงว่าจุดมุ่งหมายของ email ที่ว่าต้องการอะไรขึ้นมาในการที่จะติดต่อกับลูกค้านั้น และเพื่อที่จะให้ได้ตามจุดมุ่งหมายนั้น การมี Call to action ที่แน่ชัดว่า จะให้ผู้อ่านทำอะไร หรือรับทราบอะไรในเนื้อหาของอีเมล์นั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการออกมา นอกจากนี้การส่งอีเมล์ออกไปนั้นต้องเข้าใจด้วยพฤติกรรมและความคิดของผู้บริโภคด้วยอีกว่า เมื่ออยากให้ผู้บริโภคทำอะไร ก็ต้องมีรางวัลตอบแทนในการลงแรงนั้นเพื่อให้ Call to action ของอีเมล์นั้นได้ผลขึ้นมาด้วย

2. ไม่ใส่ใจในหัวเรื่องของอีเมล์ : หลาย ๆ ครั้งการทำ email นั้นพลาดกับเรื่องง่าย ๆ กับการตั้งชื่อหัวข้อของอีเมล์ในการส่งไปหาลูกค้าของตัวเอง ซึ่งทำให้หัวข้ออีเมล์ที่ส่งไปนั้นเกิดความไม่น่าสนใจหรือไม่เหมาะสมต่ออุปกรณ์ที่อ่าน ทำให้ผู้รับเกิดความไม่สนใจต่อเนื้อหาอีเมล์ที่ส่งมาจนลบทิ้งหรือส่งอีเมล์ลงถังขยะได้ ทั้งนี้นักการตลาดควรใส่ใจในการที่จะสร้างหัวข้ออีเมล์ให้โดนออกมา ไม่ว่าจะเป็นการใช้คำ ความยาว หรือรูปแบบประโยค เพื่อที่จะทำให้อัตราการเปิดอีเมล์นั้นสูงขึ้นมาได้ทันที

3. ใส่ลิงก์ที่ใช้ไม่ได้ : บางครั้งนักการตลาดนั้นก็สามารถพลาดได้ง่าย ๆ กับเรื่องที่ไม่ควรพลาดอย่างเช่นการใส่ Link ต่าง ๆ เข้าไปในเนื้อหาของ Email นั้น ๆ หรือการที่ Call to action คือการให้กด Link อะไรบางอย่าง แล้วปรากฏว่า Link ที่แนบไปนั้นกลับกลายเป็นว่ากดแล้วไม่ได้ไปไหน หรือลิงก์นั้นเสีย ทำให้คุณนั้นพลาดโอกาสที่จะทำให้เกิดลูกค้าใหม่ ๆ หรือดึงคนที่สนใจใหม่ ๆ เข้ามา นอกจากนี้ยังเกิดความรู้สึกที่ไม่ดีกับผู้บริโภคที่ได้รับอีเมล์เหล่านั้นด้วยว่า คุณไม่ได้มีความใส่ใจในการส่งอีเมล์เลย

4. รูปแบบอีเมล์ไม่เหมาะสม : การส่งอีเมล์ในยุคนี้ต้องคิดถึงว่าผู้บริโภคหรือผู้รับอีเมล์ของตัวเองนั้นจะอ่านอีเมล์ที่ไหน และอย่างไร เพราะการส่งอีเมล์ในรูปแบบที่ไม่เหมาะสมต่อการบริโภคนั้นทำให้เกิดการเปิดอีเมล์ที่ต่ำลงจนถึงขั้นเพิกเฉยต่ออีเมล์นั้นเลย ดังนั้นการรู้ว่าอีเมล์ของคุณนั้นควรจะส่งไปในเครื่องมือแบบใดที่อ่านแล้วจะเหมาะสมที่สุดหรือเข้าใจว่า เวลาไหนที่ผู้บริโภคจะเปิดอ่านอีเมล์แล้วได้ผลที่สุดนั้นทำให้เกิดประสิทธิภาพการใช้อีเมล์ที่สูงขึ้นอย่างทันที

5. ทำให้ผู้บริโภคต้องออกจากหน้าอีเมล์ในการเก็บข้อมูล : การส่งอีเมล์นั้นถ้ามีการเก็บข้อมูลแล้วทำให้ผู้บริโภคนั้นต้องกดลิงก์ออกไปยังที่อื่น เพื่อไปกรอกหน้าฟอร์มแล้วละก็ สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือการที่คุณจะสูญเสียคนที่จะเก็บข้อมูลอย่างทันทีอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของกลุ่มที่ส่งอีเมล์ออกไป ดังนั้นถ้านักการตลาดอยากได้ข้อมูลของผู้บริโภคที่ต้องการแล้วละก็การทำให้ฟอร์มปรากฏในอีเมล์และให้กรอกในอีเมล์เลย เพื่อไม่ให้สูญเสียกลุ่มลูกค้าออกไป และได้ข้อมูลตามที่ต้องการอีกด้วย

6. ไม่อัพเดทเว็บไซต์ตัวเอง : ส่วนใหญ่ในการทำ Email Marketing นั้นส่วนใหญ่แล้ว อีเมล์ที่ส่งนั้นจะถูกลิงก์กลับมายังเว็บไซต์ของตัวเอง เพื่อให้ข้อมูลอื่น ๆ เพิ่มเติม แต่ปรากฏว่าเมื่อผู้รับอีเมล์กดกลับมาที่เว็บไซต์แล้ว เว็บนั้นไม่อัพเดททำให้ประสบการณ์ของผู้บริโภคนั้นเสียไปกับการหาข้อมูลต่าง ๆ ไม่เจอ หรือใช้งานเว็บไซต์ไม่สะดวกในอุปกรณ์ต่าง ๆ ซึ่งสุดท้ายแล้วลูกค้าจะหนีไปจากเว็บไซต์อย่างรวดเร็วและไม่สนใจอีเมล์ที่ส่งอีกต่อไป

7. ไม่เข้าใจลูกค้าตัวเอง : สิ่งหนึ่งที่ทำให้การทำ e-mail marketing นั้นไม่ได้ผลอย่างมาก คือการไม่เข้าใจว่าลูกค้าตัวเองอยากได้อะไร และต้องการเมื่อไหร่ ซึ่งเกิดจากการไม่เคยเก็บข้อมูลของลูกค้ามาวิเคราะห์ว่าเนื้อหาที่ลูกค้าอ่าน และเวลาที่ลูกค้ากดเปิดอีเมล์นั้นเป็นอย่างไร เพื่อสร้าง Segmentation ของลูกค้าที่ถูกต้องออกมา และทำให้เกิดประสิทธิภาพของการเปิดอีเมล์และการที่ลูกค้าอยู่ในระบบของอีเมล์นั้นนานขึ้นอกีด้วย