การแข่งขันในธุรกิจการค้าวันนี้เติบโตแบบแนวราบ มีธุรกิจเล็กๆเกิดขึ้นมากมาย เทรนด์ธุรกิจและการตลาดที่เกิดขึ้นในช่วงหลังเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ แต่บอกได้เลยว่าถ้าหาก ‘คนทำธุรกิจขนาดเล็ก’ จับเทรนด์เหล่านี้ได้ถูกจังหวะเวลา โอกาสเติบโตมาแน่ ซึ่งไม่เพียงแต่จะสร้างความแข็งแรงให้แบรนด์ แต่ยังสร้างสะท้อนคุณค่าและความมั่นใจจากแบรนด์ของเราไปยังกลุ่มเป้าหมายอีกด้วย ลองนึกถึงความท้าทายที่แบรนด์ของคุณต้องเผชิญในปีนี้ แล้วไปสำรวจดูว่า 5 เทรนด์ที่เรากลั่นกรองมานี้จะสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับธุรดิจของคุณได้ในทางใดบ้าง ไปดูกันเลย
1. ลาก่อน B2B, B2C | สวัสดี H2H!
เป็นที่ทราบกันดีสำหรับการทำธุรกิจว่าสามารถแบ่งประเภทกลุ่มเป้าหมายออกมาได้ทั้งแบบ B2B (bussiness-to-business )และ B2C (bussiness-to-consumer) แต่สิ่งที่เรากำลังจะพูดถึงนี้จะเป็นการแบ่งประเภทกลุ่มเป้าหมายที่จะลึกซึ้งกว่าที่คุณเคยรู้จักมา เพราะมันคือการเซกเมนต์ลูกค้าด้วยวิธีการสร้างสร้างสรรค์อย่าง Human-to-Human (H2H)
H2H จะช่วยสร้างความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้าและแบรนด์ได้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น (การรักษาลูกค้าไว้ในมือคือหัวใจสำคัญอันดับต้นๆของการทำธุรกิจ) เพราะลูกค้าไม่ได้ใช้เพียงเหตุผลในการตัดสินใจเลือกแบรนด์ อันที่จริงอารมณ์ความรู้สึกอาจจะเกินครึ่งในกระบวนการตัดสินใจเลยด้วยซ้ำ แบรนด์จึงจำเป็นต้องนำเสนอประสบการณ์เพื่อที่จะเก็บเกี่ยวอารมณ์ความรู้สึกของลูกค้าให้ได้ในทุกมุม
การเชื่อมโยงระหว่างตัวแบรนด์กับลูกค้าจะทำโดยมุ่งไปที่การสื่อสารแบบตัวต่อตัว อารมณ์เหมือนคุยกับลูกค้าแต่ละคนด้วยความเข้าอกเข้าใจ ไม่ใช่การก๊อปปี้แพทเทิร์นประโยคที่ตระเตรียมมา แล้วคุยกับลูกค้าทุกคนในรูปแบบเดียวกันเหมือนหุ่นยนต์ ถ้าหากคุณยังทำธุรกิจโดยไม่คำนึงถึง H2H และยิ่งเป็นแบรนด์เล็กด้วยแล้ว ยิ่งเสี่ยงต่อการโดนคู่แข่งมาดึงลูกค้าไปไม่น้อยเลยทีเดียว
Image: Thingsanddetails.blogspot.com
2. Brand Community จับคนที่ชอบอะไรเหมือนๆกันมาอยู่ด้วยกัน
แบรนด์ที่เฉียบแหลมจะใช้พลังจาก brand community ของตัวเองเป็นตัวช่วยส่งต่อเรื่องราวของแบรนด์ให้กระจายเป็นวงกว้าง community ในที่นี้คือกลุ่มลูกค้าในมือที่มีความเป็นขาประจำระดับหนึ่ง เพราะฉะนั้นต้องกล้าที่จะเปิดประเด็นให้กลุ่มเหล่านี้ได้รับรู้ key message ของเรา หาความเชื่อมโยงที่จะทำให้ลูกค้าเราเป็นส่วนหนึ่งและรักแบรนด์ของเรา ด้วยการสร้างชุมชนลูกค้า
พื้นเดิมคือลูกค้าในมือเราจะมีความชอบบางอย่างในแบรนด์ของเราร่วมกันอยู่แล้ว เราต้องสร้าง traffic ให้เกิดการพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น หรือเซ็ตกิจกรรมบางอย่างให้ลูกค้าขาประจำของเรามี interactive ร่วมกัน อย่างการจัดเวิร์คช็อป การสร้างกิจกรรมที่ก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยน มันคือการ Co-creation ที่จะทำให้พวกเขารู้สึกว่าการได้เป็นลูกค้าของแบรนด์เราคือความ exclusive และภูมิใจจนอยากจะพรีเซนท์แบรนด์ของเราไปสู่คนรอบตัว เป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่หากจับทางได้แบรนด์คุณจะแข็งแกร่งขึ้นต่อให้เป็นแบรนด์เล็กก็ตามที
3. ใช้เทคโนโลยีให้เป็น
การกำหนดกลยุทธ์การตลาดที่เจ๋งไม่ใช่เพียงแค่อัพเดทเทรนด์ใหม่ๆ แต่ต้องสร้างแรงบันดาลใจที่จะนำไปสู่การคิดต่อยอด และต้องกระตุ้นให้เราสามารถเชื่อมต่อแบรนด์ไปสู่แนวทางใหม่ๆที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม ตรงนี้แหละที่ต้องหาเทคโนโลยีมาช่วยซัพพอร์ท เทคโนโลยีใหม่ๆในโลกถูกพัฒนาขึ้นแทบจะทุกสัปดาห์ การเสริมเทคโนโลยีที่มีความเกี่ยวข้องกับรูปแบบธุรกิจของคุณ เข้าไปในกลยุทธ์การตลาด จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสร้าง interactive ระหว่างลูกค้าและแบรนด์ของคุณได้อย่างไหลลื่นและสตรองมากยิ่งขึ้น
ในปีที่ผ่านมาการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์และลูกค้ามีความซับซ้อนมากขึ้น เพราะเทคโนโลยีจะถูกพัฒนาให้เข้าถึงความต้องการระดับปัจเจคมากขึ้นเรื่อยๆ
ซึ่ง ณ จุดนี้เราอยากยกตัวอย่างแอพลิเคชั่น LINE จะเห็นได้จากที่ผ่านมา LINE พยายามพัฒนารูปแบบการสื่อสาร รูปแบบการชำระเงิน เพื่อเข้ามาช่วยซัพพอร์ทการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการอย่างต่อเนื่อง ลองสำรวจธุรกิจของคุณว่ามีส่วนไหนบ้าง ที่ถ้าหากเสริมเทคโนโลยีเข้ามาช่วยแล้วจะประหยัดเวลา ประหยัดต้นทุนระยาว และช่วยให้การดำเนินงานจะมีประสิทธิภาพกว่าเดิม
4. ROI (Return on Innovation) นวัตกรรมเป็นเรื่องคุ้มค่าที่จะเสี่ยง
ถึงเวลาแล้วที่ธุรกิจขนาดเล็กต้องคิดให้ลึกยิ่งกว่า ROI (Return on Investment) หรือ ผลตอบแทนการลงทุน ความหมายแบบดั้งเดิมที่คุณเคยรู้จัก เราอยากให้คุณมอง ROI ในความหมายใหม่นั่นคือ Return on Innovation การลงทุนกับนวัตกรรม เอ่ยถึงนวัตกรรมก็อย่าเพิ่งคิดว่ายากหรือไกลตัว เพราะนวัตกรรมคือสิ่งใหม่ที่เกิดจากความสร้างสรรค์ ความสร้างสรรค์เกิดจากการสังเกตและการคิด นำมาสู่นวัตกรรมที่เกิดจากการนำสิ่งที่คิดมาลงมือทำ ซึ่งนอกเหนือไปจากการลงทุนแบบดั้งเดิม นวัตกรรมเป็นความคุ้มค่าที่จะลองเสี่ยง เพราะสามารถก่อเกิดผลในระยะยาวได้ จึงเป็นเรื่องปกติที่เราจะเห็นแบรนด์ใหญ่ๆของโลกทุ่มงบประมาณไปกับการพัฒนานวัตกรรม
แบรนด์เล็กสามารถสร้างนวัตกรรมในกำลังของตัวเองได้ ยิ่งคุณหาวิธีการใหม่ๆมาแก้ปัญหาได้ตรงจุดมากเท่าไหร่ ‘Return on Innovation’ ของคุณก็จะมากขึ้นเท่านั้น ขอยกตัวอย่างชัดๆให้เห็นภาพเช่น ลูกมะพร้าวแบบมีฝาดึงสลักเปิดได้เหมือนเปิดกระป๋อง, น้ำเต้าหูแบบขวดสำเร็จรูปที่เก็บไว้ได้นาน 2 ปี, สีทาบ้านที่สามารถเช็ดล้างได้ เป็นต้น นวัตกรรมที่สร้างขึ้นต้องมีความหมายต่อผู้บริโภค จึงจะสามารถกระตุ้นให้เกิดการปฏิสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์และกลุ่มเป้าหมายได้
5. Hashtag ง่ายแต่ทรงพลัง
แฮชแท็กเป็นหนึ่งในสุดยอดเครื่องมือการสื่อสารที่ง่ายแต่ทรงพลัง มันถูกดีไซน์มาเพื่อเติมแต่งการสนทนาให้มี element และลื่นไหล เป็นคีย์เวิร์ดที่จะนำไปสู่ข้อมูลอีกมากมายมหาศาล ทั้งยังสามารถสร้างประสบการณ์ร่วมกันข้ามโซเชียลแพลตฟอร์ม ด้วยวิธีการแสนง่ายอย่างการพิมพ์ข้อความหรือคำต่อท้ายเครื่องหมาย # ถ้าให้พูดตามตรงคือ หากคุณดีไซน์กลยุทธ์การใช้แฮชแท็กออกมาได้อย่างแยบยล คุณจะได้เปรียบคู่แข่งและได้ใจกลุ่มเป้าหมาย เพราะนี่คือรูปแบบการใช้งานเครื่องมือที่ง่าย และทรงพลังเป็นอันดับต้นๆจากทั้งหมดของ digital tools
ในปีที่ผ่านมาแบรนด์ที่เฉียบแหลมหลายแบรนด์สร้างสรรค์แฮชแท็กที่ง่ายต่อการใช้งาน ง่ายต่อการเข้าใจ และง่ายต่อการเข้าถึงผู้คน เพื่อมาเสริมสร้างประสบการณ์ให้ทั้งแบรนด์และกลุ่มเป้าหมาย อีกทั้งแฮชแท็กยังเป็นกลยุทธ์การสื่อสารการตลาดที่ช่วยสร้าง engagement ให้แบรนด์ได้อย่างรวดเร็ว
ซึ่งการค้นด้วย แฮชแท็ก กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะมันเป็นคีย์เวิร์ดง่ายๆที่จะเชื่อมโยงผู้ใช้งาน ไปยังแหล่งข้อมูลที่พวกเขาต้องการได้อย่างรวดเร็ว การดึง Hashtag มาเป็นเครื่องมือในการกำหนดกลยุทธ์จะทำให้แบรนด์ของคุณถูกพูดซ้ำ พูดต่อไปเรื่อยๆผ่านแฮชแท็กที่คุณสร้างสรรค์ขึ้นมา อย่าลืมแฮชแท็กที่ใช้ต้องก่อเกิดประสบการณ์ระหว่างแบรนด์และผู้บริโภค และต้องโดนใจง่ายต่อการจดจำ