ปีที่ผ่านมาจะเห็นแล้วว่า Platform อย่าง Social Media นั้นกลายเป็นเครื่องมือที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ เพราะเนื่องจากเป็น Platform ที่คนอื่นนั้นเป็นเจ้าของ และจะปรับเปลี่ยนรูปแบบ Platform อย่างไรก็ได้ เหมือนดังเช่นการมีที่ดินและทำร้านค้าเป็นของตัวเอง ย่อมควบคุมสิ่งต่าง ๆ ได้มากกว่าการไปเช่าที่ดินของห้างหรือคนอื่นที่จะปรับเปลี่ยน เพิ่มค่าเช่าหรือเพิ่มข้อห้ามต่าง ๆ ขึ้นมาอย่างมากมายทำให้การทำการสื่อสารทางการตลาดนั้นยากมากขึ้นไปอีก
เมื่อการไปทำการตลาดที่อื่นนั้นยากลำบาก สิ่งที่นักการตลาดจะต้องหันกลับมามองคือการทำ Asset ของตัวเองให้ได้มีประสิทธิภาพมากที่สุด หนึ่งใน asset ที่หลาย ๆ คนมองข้ามไปในช่วงเวลาที่ผ่านมาคือ การทำเว็บไซต์ของตัวเองนั้นเอง ซึ่งในปี 2018 นี้เว็บไซต์จะหลายมามีบทบาทสำคัญอย่างมากของการตลาด และจากที่นักการตลาดแค่ทำเว็บไซต์เพื่อให้มี ปีนี้จะต้องกลับมามองและปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์เพื่อให้ทำงานให้ดียิ่งขึ้นและเปลี่ยนคนที่เข้ามาให้กลายเป็นลูกค้าให้ได้ ทั้งนี้ลองดู 10 เคล็ดลับนี้ในการทำให้เว็บไซต์ของคุณนั้นดีขึ้นมาเพื่อทำให้คนมาใช้เยอะขึ้น
1. ทำหน้าแรกให้ดี : ปัญหาของเว็บไซต์ที่ไม่น่าใช้ส่วนใหญ่คือการเข้ามาเจอคู่มูลที่ไม่น่าใช้ ใช้งานยากตั้งแต่หน้าแรกขึ้นมา โดยเฉพาะเว็บไซต์ของหน่วยงานที่ยังมีความโบราณอยู่ที่จะพยายามยัดเยียดทุกอย่างมากไว้ในหน้าแรก ทำให้ดูวุ่นวายไปหมด สิ่งที่ควรทำคือการทำให้หน้าแรกนั้นง่ายและสะอาดมากที่สุด ใส่ข้อมูลที่สำคัญที่สุด เอาให้เข้าใจได้ทันที และเอาเนื้อหาสำคัญที่คนกำลังมองหาไว้ในตำแหน่งที่เจอง่าย ๆ
2. ทำการโหลดหน้าเว็บไซต์ให้เร็ว : หลาย ๆ เว็บไซต์สอบตกในเรื่องนี้ เพราะเมื่อเข้ามาหน้าเว็บไซต์แล้วปรากฏว่าใช้เวลาโหลดหน้าเว็บไซต์นั้นยาวนานมาก จนหมดความอดทนที่จะรอแล้วออกจากเว็บไซต์ไป ซึ่งเว็บไซต์ที่ดีควรจะมีเวลาโหลดหน้าเว็บไซต์อยู่ที่ 2-4 วินาที และเมื่อขึ้นมากกว่านี้ไปเรื่อย ๆ จะทำให้คนหนีจากเว็บไซต์เพิ่มขึ้น จากการศึกษาพบว่าถ้าดีเลย์ 2 วินาทีจะทำให้คนออกจากเว็บไซต์ถึง 87%
3. ออกแบบให้มีช่องว่าง : หลาย ๆ ครั้งการออกแบบเว็บไซต์ที่เกิดขึ้นคือการที่พยายามจะเอาทุกอย่างมาใส่ให้ได้มากที่สุด ทำให้หน้าเว็บไซต์มี object หลาย ๆ อย่างที่อยู่อัดแน่นกัน เมื่อสายตาเหล่าดูแล้วกลับไม่รุ้ว่าจะโฟกัสที่อะไร แถมทำให้รู้สึกอึดอัดอย่างมาก การมีช่องว่างทำให้เว็บดูโปร่งสบาย และสวยงามยิ่งขึ้นด้วย
4. ใช้ Call to action ให้ดี : หลาย ๆ ครั้งดีไซน์เนอร์ในประเทศไทยไม่ได้เป็น Copy Writer หรือไม่ได้เชี่ยวชาญในการใช้คำต่าง ๆ ทำให้มักจะใช้ค่า Default ภาษาของการออกแบบ แต่การสร้าง Call to action ทำให้สามารถทำให้ผู้ใช้รู้ตัวว่าจะต้องทำอะไรต่อ รวมทั้งการใช้สีก็สามารถกระตุ้นความคิดในการที่จะปฏิสัมพันธ์หรือไม่ก็ได้ด้วย
5. ใช้ภาพหรือวิดีโอให้ดี : สมองของผู้บริโภคนั้นมีการประมวลผลภาพและวิดีโอเร็วกว่าการอ่านอย่างมาก เมื่อเห็นภาพและวิดีโอที่สนใจจะทำให้หยุดความสนใจและดึงให้อ่านในเนื้อหาอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ แถมทำให้อธิบายเรื่องราวของเว็บไซต์ได้เร็วกว่าข้อความอื่น การเลือกภาพก็มีส่สนสำคัญเพราะภาพที่ให้ความสุขนั้นสามารถเพิ่ม conversion rate ได้ดีกว่าภาพอื่น ๆ อีกด้วย
6. ใส่ช่อง Search เข้าไป : การมีช่อง Search นั้นช่วยให้ผู้ใช้สามารถค้นหาเรื่องราวที่กำลังสนใจได้ต่อหรือสามารถหาเรื่องที่สนใจได้ทันที แทนที่จะมาไล่หาตามเว็บไซต์เอาเอง หรือต้อง inbox, live chat หรือ email มาถามทีมงานเอาเอง
7. ใส่ที่อยู่ให้ติดต่อให้ได้ง่าย : ปัญหาคลาสสิกที่เจอคือการที่เมื่ออยากจะติดต่อเว็บไซต์ หรืออยากจะคุยในรายละเอียดอื่น ๆ เพิ่มเติม กลับไม่มีอะไรให้ติดต่อ นอกจากกล่องข้อความ แต่หลาย ๆ คนอยากจะติดต่อผ่านทางอีเมล์ ที่อยู่จริง ๆ หรือโทรสอบถามยากมีความเร่งด่วน ซึ่งนี้จะช่วยให้ได้ผู้บริโภคที่กำลังสนใจในทันทีที่ง่ายขึ้น
8. แก้ลิงก์ที่พังซะ : สิ่งที่ทำให้การใช้เว็บไซต์เกิดความรำคาญอย่างมากคือการกดลิงก์ต่าง ๆ ที่อยู่ภายในเว็บไซต์แล้วปรากกฏว่า ลิงก์เหล่านั้นพัง หรือไม่มีแล้ว ทำให้เกิดความรู้สึกไม่อยากใช้งานอีกต่อไป เพราะเสียเวลาอันมากมายที่อยากจะรู้แล้วไม่เจออะไร ดังนั้นคนทำเว็บไซต์ควรเช็คให้ดีว่าเว็บไซต์ตัวเองมีลิงก์พังหรือไม่ โดยใช้เครื่องมือ อย่าง 404 check หรือ google webmaster tools.
9. ทำให้มันอ่านได้ง่ายขึ้น : หลาย ๆ ครั้งการเข้ามาในเว็บไซต์แล้วเจออะไรที่อ่านไม่เข้าใจ อ่านยาก หรืออ่านไม่รู้เรื่อง ทำให้ความน่าใช้ของเว็บไซต์เหล่านั้นหายไปทันที เพราะหลาย ๆ คนไม่อยากพยายามอ่านเนื้อหาที่มันมีความยากในการอ่านต่าง ๆ ขึ้นมา
10. กำจัดอะไรที่ไม่จำเป็นออกไป : หลาย ๆ เว็บไซต์ที่ทำมานานนั้นจะมีโครงสร้างต่าง ๆ มากมายที่ปัจจุบันไม่ได้ใช้แล้ว รวมทั้งการมีโครงสร้างต่าง ๆ ที่ไม่จำเป็นต่าง ๆ ขึ้นมา ทำให้ประสิทธิภาพของเว็บไซต์นั้นไม่ดี และทำให้เว็บไซต์นั้นมีความยากในการใช้งานเนื่องจากอะไรที่ไม่จำเป็นเหล่านี้ทำให้ข้อมูลที่จำเป็นหายากมากขึ้นไปอีก ตัวอย่างเช่น หน้าที่เว็บที่ไม่จำเป็น ลิงก์ไป Social Media ที่ไม่ได้ทำแล้ว หรือเว็บบอร์ดที่ไม่มีความเคลื่อนไหว
