เมื่อนึกถึง Digital Marketing สิ่งที่หลาย ๆ คนนึกเป็นสิ่งแรกคือการทำการตลาดใน Facebook และทุกคนจะมุ่งและทุ่มพลังงานไปกับการทำ Facebook ให้เกิดอย่างมาก แต่เอาเข้าจริง ๆ แล้วการเข้าไปอยู่ใน Facebook และทุ่มเทพลังงานทั้งหมดผ่าน Facebook นั้นเป็นทางที่ถูกต้องไหม หรือมีวิธีอื่นที่ได้ผลมากกว่านี้ในการทำ Digital Marketing ออกไป
การทำ Digital Marketing จริง ๆ แล้วคือการวางแผนกลยุทธ์และการลงมือผ่านเครื่องมือ Digital ที่หลากหลาย ๆ ที่ต้องทำงานร่วมกันดังเพลงออเคสตร้าที่ให้ความละมุนและความเพลิดเพลินให้กลุ่มเป้าหมายที่อยากติดตามนั้นสนใจได้ แต่เพื่อที่จะไปให้ถึงจุดนั้นจึงจำเป็นอย่างมากที่คนทำการตลาดผ่าน Digital นั้นต้องเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคตัวเองแบบทะลุปลุโปร่งอย่างมาก เพื่อที่จะทำให้สามารถสื่อสารได้ถูกที่และถูกทาง ทำให้สิ่งที่ทำนั้นจะได้ผลมากที่สุด ซึ่งสุดท้ายแล้วถ้าหันมาพิจารณาดี ๆ นักการตลาดอาจจะพบว่า Facebook ที่ใช้เป็นเครื่องมือหลักนั้นอาจจะไม่ใช่เครื่องมือที่ดีที่สุดก็ได้ ซึ่งวันนี้ผมจะเอาความคิดเห็นของผมมาแขร์
1. Facebook เข้าภาวะอิ่มตัว
จากที่ Facebook นั้นแทบครองโลก ผู้คนมากมายไปอยู่ใน Facebook เช่นเดียวกับนักการตลาดที่อยู่ใน Facebook เหมือนกัน ทำให้ตอนนี้ Facebook นั้นเปรียบได้ดังย่าน timesquare ที่เกาะ manhattan ที่นิวยอร์คที่มีคนมากมายอยู่รวมกัน มี Show มีกิจกรรม และมีป้ายโฆษณา พร้อมร้านค้ามากมาย ต่างคนต่างแย่งความสนใจกันหมด แต่ความเป็นจริงแล้วผู้บริโภคสนใจแต่เรื่องที่ตัวเองสนใจ กิจกรรมของตัวเอง ป้ายโฆษณาเหล่านั้น หรือเสียงเรียกต่างๆ แทบไม่มีผล ดังนั้นลองนึกถึง Facebook ว่ากลายเป็นที่ Content ต่าง ๆ มารวมตัวอยู่ในนี้ วัน ๆ หนึ่ง ผู้บริโภค หรือแม้แต่ตัวนักการตลาดเองต้องรับข้อมูลใน Facebook มากแค่ไหน แล้วถ้านักการตลาดสร้าง Content เข้าไปเองจะมีคนเห็นไหม ทำให้การทำอะไรก็ตามในนี้เริ่มที่จะยากขึ้น ไม่ได้เหมือนช่วง 7-8 ปีที่แล้ว ที่ทำอะไรก็ได้รับความสนใจ ทำให้นักการตลาดต้องชั่งใจให้ดีว่าการทำ การสื่อสารในการตลาดนั้นจะสามารถแย่งความสนใจมาหรือไม่ แถมทุกวันนี้ยังถูกบีบบังคับให้ซื้อโฆษณาเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ นั้นจะคุ้มต่อการลงทุน ลงแรงมาก ๆ ไหม
2. Facebook ไม่ Cool อีกต่อไป
เมื่อ Facebook กลายเป็นแหล่งชุมชนขนาดนี้ทำให้สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ผู้ใช้ Facebook จำนวนมาก โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ๆ เริ่มรู้สึกว่าการใช้ Facebook นั้นไม่ตอบโจทย์ หรือไม่ได้รู้สึกว่า Facebook นั้นเท่อีกต่อไป แถมการใช้ Facebook หลาย ๆ ครั้งก็เจอเนื้อหาที่น่าเบื่อ ความดราม่า ข่าวปลอม การหาเรื่องหรือโดนหาเรื่องจากสังคมรอบตัว หรือโพสขายของมากมาย ซึ่งมาจากเหตุผลข้อที่ 1. รวมทั้งเจ้านาย พ่อแม่ ผู้ปกครองที่เข้ามาอยู่ใน Facebook ทำให้ผู้ใช้จำนวนมาก Active ใน Facebook ไม่ได้เยอะเหมือนเมื่อก่อน และเอาเวลานั้นไปอยู่ใน Platform อื่น ๆ ที่สามารถอยู่และใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจมากกว่า ซึ่งปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นในอเมริกาเช่นกัน ที่วัยรุ่นหันไปใช้ Snapchat แทน Facebook เพราะพ่อแม่ตามไปไม่ได้ ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองไทยคือ เราจะเห็นวัยรุ่นและคนจำนวนมาก ย้ายไปอยู่หรือไป Active ที่ Platform อื่นแทน ไม่ว่าจะเป็น Twitter หรือ Instagram ดังนั้นนักการตลาดควรต้องดูให้ดีว่ากลุ่มเป้าหมายที่อยู่นั้น Active ใน Facebook จริงหรือไม่ หรือไป Active ที่ Platform อื่นแล้ว
3. Facebook อาจจะไม่ได้สร้างรายได้
ในหลาย ๆ ครั้งหลายคนคิดว่า Facebook นั้นจะสร้างลูกค้าใหม่ได้ แต่เอาเข้าจริงแล้ว อาจจะไม่ได้สร้างให้เลย อาจจะได้แค่ยอดคนเห็น ยอดการรับรู้แทน ลองนึกถึงคนที่วาดภาพขายหลาย ๆ คน ที่เอาภาพมาเผยแพร่ที่ Facebook ปรากฏว่าได้แต่ยอดคนเห็น คนไลค์ คนแชร์ แต่ปรากฏว่าไม่ได้มีใครสนใจซื้อภาพหรืออุดหนุนภาพนั้นจริง เทียบกับอีกคนที่เอาภาพนั้นไปลงใน DavianArt กลับขายได้อย่างมาก ซึ่งนี้ให้บทเรียนว่าคนเห็นเยอะ ไม่ได้หมายความว่าจะได้รายได้เยอะตาม นั้นเป็นเพราะจากเหตุผลข้อที่ 1 และ 2 ที่ผ่านมา นั้นทำให้เห็นว่า ที่ที่คนอยู่เยอะก็ไม่ได้หมายความว่าจะสนใจสินค้าหรืออยากได้สินค้าคุณ ดังนั้นการเข้าไปอยู่ให้ถูกจุด ถูกที่มากกว่าอยู่ใน Facebook นั้นสำคัญมาก เช่น การ Search ที่คนมีความตั้งใจหาอะไรบางอย่าง ถ้าแบรนด์ไปอยู่ตรงนั้นได้ถูกที่ ก็สามารถสร้างรายได้ได้ หรือการเข้าไปอยู่ใน Youtube ที่คนมีความตั้งในที่จะดูวิดีโอสูงกว่า และกำลังค้นหาวิดีโอที่สนใจ ทำให้แบรนด์ที่อยู่ในนี้มีความสนใจมากกว่า Video ใน Facebook
ทั้งนี้ทั้งหมดนี้คือความเห็นส่วนตัวของผมในการทำการตลาดผ่านลุกค้าหลาย ๆ รายมา และพบว่าจริง ๆ แล้วการทำ Digital Marketing ที่ดีคือการไม่ยึดติดกับเครื่องมือใด เครื่องมือหนึ่งจนมากเกินไป และสามารถปรับใช้หรือใช้เครื่องมืออะไรก็ได้ที่ทำให้ได้ผลมากที่สุด สามารถใช้เครื่องมือที่คุยได้ถูกที่ ถูกทางและถูกเวลา พร้อมสร้างรายได้ ได้ขึ้นมา