ปกติแล้วในการทำงานนั้น เรามักอยากจะให้งานนั้นจบในออฟฟิส และหลาย ๆ ครั้งที่เจอคือคนทำงานในออฟฟิสเองหรือบางแผนกเองก็คิดว่าตัวเองนั้นเก่งที่สุดแล้ว หรือคิดว่าคนอื่นนั้นไม่เก่งเท่าตัวเอง ยังไม่เข้าใจตลาดหรือยังไม่สามารถทำได้เท่างานที่ตัวเองทำ ซึ่งแท้จริงแล้วในยุคใหม่นี้เป็นความเชื่อที่ผิดมาก เพราะในตอนนี้การที่บริษัทนั้นสามารถแสวงหาคนทำงานร่วมได้นั้นจำเป็นอย่างยิ่ง
ปกตินั้นเอเจนซี่มักจะวางตัวเองเป็นคนกลางในการดำเนินงาน และสร้างความเชี่ยวชาญของตัวเองขึ้นมาเช่นบริษัทเอเจนซี่โฆษณาก็จะมีความเชี่ยวชาญด้าน Creative หรือบริษัทที่ทำด้าน Production House ก็จะมีความเชี่ยวชาญด้านการผลิต หรือเอเจนซี่ที่ทำงานด้านอีเว้นท์นั้นก็จะมีความเชี่ยวชาญด้านอีเว้นท์ ซึ่งก็เป็นแบบนี้ในหลาย ๆ เอเจนซี่มาโดยตลอด แต่เมื่อมาสู่ยุคนี้โมเดลแบบนี้เริ่มเปลี่ยนไปอย่างมาก เพราะการมาถึงยุคดิจิตอลนั้นทำให้กระบวนการรับสื่อนั้นแต่ต่างไปจากอดีต การทำงานที่ผ่านมานั้นไม่สามารถใช้ได้กับยุคนี้เพราะในหลาย ๆ เอเจนซี่นั้นทำงานในรูปแบบ Push Communication มาโดยตลอดคือการสื่อสารอยู่ฝ่ายเดียวและไม่รู้ว่าผู้บริโภคหรือคนที่กำลังสื่อสารด้วยอยากได้อะไร หรืออยากฟังอะไร ซึ่งทำให้เกิดช่องว่างทางการตลาดให้กับเอเจนซี่หรือผู้เล่นในตลาดรายใหม่ๆ ทันทีที่สามารถเข้ามาทำการสื่อสารที่เข้าใจผู้บริโภคมากกว่า หรือสามารถวัดผลได้ดีกว่าด้วย
ในต่างประเทศในตอนนี้เองนั้นมองเรื่องการทำทุกอย่างเองในออฟฟิสหรือเอเจนซี่เองนั้นเป็นเรื่องไม่ควรทำอย่างมาก หรือกระบวนการทำงานที่กินรวบทุกสายนั้นไม่ควรเกิดขึ้น อย่างมากสุดคือการสามารถคิดแกนการทำงานหรือการสื่อสารที่ครบวงจร แต่เมื่อต้องทำงานจริงนั้นก็จะเอาความคิดนั้นไปปรึกษาบริษัทที่เชี่ยวชาญในการทำงานนั้นจริง ๆ มากกว่าว่าจะทำได้ไหม หรือทำได้แบบไหนดี นอกจากนี้บางทีเอเจนซี่นั้นก็ระดมคนมาทำงานร่วมเพื่อให้เกิดงานที่ดีที่สุดออกมาเช่นกัน ความสำคัญที่ต้องทำงานร่วมกับ Partner หรือบริษัทที่เก่งในการทำงานอื่น ๆ นั้นทำให้ลูกค้าเกิดความมั่นใจอีกด้วย จากในงาน Advertising Week เองก็มี Panel ที่ลูกค้านั้นขึ้นมาบอกความรู้สึกของตัวเองบนเวทีเช่นกันว่า “ไม่เชื่อว่าจะมีเอเจนซี่ที่เก่งครบทุกด้าน แต่ละเอเจนซี่นั้นต้องมีความถนัดกันไป และเมื่อเอเจนซี่ไหนมาบอกว่าตัวเองเก่งทุกด้านนั้นจะรู้สึกเหมือนมาโกหก”
นอกจากเรื่องการทำงานที่ต้องแสวงหา Partner แล้วสิ่งที่เห็นได้ชัดจากงาน Advertising Agency นั้นคือ Ego ของคนทำงานที่ลดลงอย่างมาก ความเชื่อมั่นที่คิดว่าตัวเองนั้นเก่งที่สุด หรือเข้าใจทุกอย่าง หรือคิดว่าไม่ต้องรู้อะไรแล้วนั้นแทบไม่มี ในตอนนี้นั้นทุก ๆ บริษัทและเอเจนซี่ต่าง ๆ นั้นเริ่มกลับมามองแล้วว่า ความครีเอทีฟในยุคนี้นั้นไม่จำเป็นต้องมาจากคนครีเอทีฟ หรือการทำงานในความเชี่ยวชาญต่าง ๆ นั้นไม่จำเป็นต้องต้องมาจากสายนั้นแล้ว (ยกเว้นทักษะพิเศษเฉพาะ) ทำให้เกิดการทำงานแบบ Multidiscipline ขึ้นมา ที่ได้ไอเดียหรือมุมมองการทำงานมาจากหลากหลายคนทำงาน ซึ่งก่อให้เกิดรูปแบบงานดี ๆ มากมาย แถมยังให้เห็นศักยภาพของคนทำงานตัวเอง และได้การมีส่วนร่วมของพนักงานในธุรกิจอีกด้วย นอกจากการทำงานในออฟฟิสแล้ว ก็ยังมีการที่เอางานที่ตัวเองคิดว่าทำได้ไม่ดี ไปให้ผู้เชี่ยวชาญกว่าทำก็มี เช่นมีเดีย หรือการทำงานร่วมกับ Startup ขึ้นมาเพื่อให้ได้งานที่ดีที่สุดออกมา
ทั้งนี้ในประเทศไทยเองก็เริ่มเห็นรูปแบบการทำงานที่ไม่ได้มาจากบริษัทเอเจนซี่ใหญ่ ๆ แต่สามารถสร้างกระแสต่อสังคมได้มากมาย เป็นการต่อย้ำว่าความครีเอทีฟนั้นไม่จำเป็นต้องอยู่กับคนทำงานครีเอทีฟ หรือการสร้างกลยุทธ์ทางการตลาดที่ดี ไม่จำเป็นต้องอยู่กับคนทำกลยุทธ์อยู่ทุกวัน แต่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุก ๆ คน ทุก ๆ อาชีพที่สามารถสร้างไอเดียให้เป็นจริงได้ ตัวอย่างในไทยที่เห็นได้ชัด ๆ เลย คือการทำ Video Clip ที่เกิดขึ้นโดยทีมงาน Salmon House ที่กลายเป็น Talk of the town ไป ซึ่ง Salmon House นั้นคือสำนักพิมพ์ในการพิมพ์หนังสือต่าง ๆ แต่กลับสามารถสร้างคลิปและเนื้อหาที่คนสนใจ อย่างเช่น New York First Times หรือล่าสุดก็คือโฆษณาคุณป้าหน้าหนา หรือการทำงาน Content เอง ปรากฏว่าในยุคนี้เองก็ไม่ใช่เอเจนซี่ที่สามารถทำเนื้อหาของ Facebook ได้ดี ตัวอย่างเช่น Salad Jones ที่มีเนื้อหาน่าสนใจหลาย ๆ เนื้อหาที่คนชอบและเอาไปแชร์ต่อได้ หรือแบบเจ๊จูของ Builk ที่ทำออกมา ก็สามารถสร้างปรากฏการณ์ไวรัลให้คนได้สนใจอย่างมากมาย และสุดท้ายอย่างหนังสือพิมพ์ในยุคนี้ก็ถูกคนทำเนื้อหายุคใหม่ ๆ เช่น The Matter หรือ The Momentum แย่งความสนใจและรายงานข่าวในรูปแบบที่โดนใจคนในยุคนี้ได้อย่างมาก
หลาย ๆ ตัวอย่างที่้เกิดขึ้นมาในยุคนี้ แสดงให้เห็นแล้วความเก่งนั้นไม่คงทนถาวร คนที่เชี่ยวชาญและคิดว่าเก่งแล้วในความจริงอาจจะไม่เก่งเลย หรืออาจจะถูกคลื่นลูกใหม่และคนในวงการอื่น ๆ ที่สามารถสร้างสรรค์ชิ้นงาน และวางกลยุทธ์ให้ดีกว่าได้ เพราะเค้านั้นเข้าใจในผู้บริโภคมากกว่า กล้าทำงานมากกว่า สิ่สำคัญคือคุณจะยอมรับไหมว่ามีคนเก่งกว่า เข้าใจมากกว่า และยอมวางอีโก้ลง เพื่อทำงานร่วมกับกลุ่มคนรุ่นใหม่เหล่านี้ และเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ จากคนเหล่านี้ไป