อย่างที่รู้ๆ กันว่า วันที่ 17 พ.ค.ที่จะถึงนี้ หลายๆ คนคงรอลุ้นกันสุดตัวว่าห้างสรรพสินค้าจะได้รับอนุญาตให้เปิดให้บริการหรือไม่? หลังจากที่ได้รับผลกระทบจากพิษ COVID-19 ลากยาวมาแล้วหลายเดือน จนภาคธุรกิจต่างก็ต้องตั้งรับ งัดกลยุทธ์แทบทุกเม็ดเอาออกมาใช้ เพื่อพยุงให้ธุรกิจต้องอยู่รอดได้ต่อไป
หนึ่งตัวอย่างที่น่าสนใจจากแนวคิดของ ‘สยามพิวรรธน์’ ในฐานะที่บริหารศูนย์การค้าชั้นนำของประเทศไทยหลายแห่ง ทั้งไอคอนสยาม, สยามพารากอน, สยามเซ็นเตอร์ และสยามดิสคัฟเวอรี่ ในวันนี้ (13 พ.ค. 63) คุณชฎาทิพ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ได้กล่าวถึง ‘โมเดลใหม่’ ของบริษัท ภายใต้วิสัยทัศน์ ‘New Beginning-New Smile’ เพื่อรับมือกับแนวโน้มพฤติกรรมของผู้บริโภค ซึ่งเรานิยามกันไว้ว่า ‘New Normal’
“ด้วยความที่เราอยู่ในวงการนี้รวมๆ ก็กว่า 60 ปีแล้ว สยามพิวรรธน์ อยู่ในตำแหน่ง expert management อีกรายหนึ่งก็ว่าได้ ในด้านการแก้ไขปัญหา เราผ่านร้อนผ่านหนาวมาก็มาก ดังนั้น ครั้งนี้เราอยากจะสร้างปรากฏการณ์ให้วงการค้าปลีกอีกครั้ง ด้วยการปฏิวัติโลกศูนย์การค้า ในช่วงที่ต้องเผชิญหน้ากับ COVID-19 สู่รีเทลโมเดลใหม่ เป็นการตอบสนองวิถีการใช้ชีวิตในรูปแบบใหม่ก่อนใคร”
คุณแป๋ม หรือ คุณชฎาทิพ พูดว่า “เราโชคดีที่มีประสบการณ์ที่ค่อนข้างมาก มีการวางแผนงานเพื่อรับมือล่วงหน้าเสมอ ประเมินสถานการณ์เป็นรายวัน เรียกได้ว่าเรา take action ได้เร็ว ดังนั้น ช่วง 2-3 เดือนที่เราเผชิญกับวิกฤตมาอย่างสาหัส เราปรับตัวอย่างไรบ้าง วันนี้จึงอยากมาแชร์ไอเดียเพื่อให้ทุกคนผ่านไปด้วยกัน”
ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจพฤติกรรมของคน โดยคุณชฎาทิพชี้ว่ามีอยู่ 3 รูปแบบ ได้แก่ ความกลัว เพราะคนกำลังเจอสิ่งใหม่มากที่ไม่เคยเจอมาก่อน, Learning Curve : ทุกคนได้เรียนรู้แล้วว่าการใช้ชีวิตในช่วงที่เกิดวิกฤตเป็นอย่างไร และต้องปรับตัวแบบไหน และสุดท้าย ‘คนจะลุกขึ้นมาสู้’ ด้วยความที่มนุษย์เรายังต้องการออกนอกบ้าน ใช้ชีวิตนอกบ้าน ดังนั้นพูดได้ว่า คนไทยกลัวสิ่งที่จะมาเปลี่ยนพฤติกรรมของเรา
โลกรีเทลในแบบ ‘สยามพิวรรธน์’ สู่ New Business Model
วิสัยทัศน์ที่ยึดถือมาตลอด ก็คือ การเป็นผู้นำความคิดสร้างสรรค์ที่ล้ำสมัย และเป็นผู้นำแห่งการนำเสนอสิ่งแปลกใหม่ให้ชีวิต (The Icon of Innovative Lifestyle) โดยช่วงที่ผ่านมาเราได้นำร่องโลกธุรกิจรีเทลสู่โมเดลใหม่ ที่สามารถตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงผู้บริโภคได้ เป็นสูตรสำเร็จที่ตั้งใจทำและอยากมาแชร์กัน
สิ่งหนึ่งที่สยามพิวรรธน์ให้ความสำคัญ คือ กระบวนการหลอมรวมทางความคิดและการสร้างสรรค์วิถีใหม่ของการดำรงชีวิต เพื่อให้เกิดความยั่งยืนของทุกฝ่ายร่วมกัน (Sustainable Living) ประสบการณ์จากการซื้อของ/สินค้าของลูกค้า จะต้องสามารถเห็นถึง value ได้ทั้งหมดตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ เราเรียกมันว่า การสืบสานละส่งต่อผลประโยชน์เป็นวงกว้าง รวมไปถึงจะต้องเสริมสร้างชีวิตที่มีคุณภาพและสุขอนามัยได้อีกด้วย
สิ่งที่สยามพิวรรธน์ทำนั้น ก็เพื่อเป็นการสร้างประโยชน์และคุณค่าให้เกิดขึ้นต่อ ทั้งผู้ผลิตและผู้ซื้อร่วมกัน จนเกิดเป็นระบบนิเวศของธุรกิจค้าปลีก (Retail Ecosystem) ที่สร้างความสำเร็จร่วมกันอย่างยั่งยืน และจะสร้างความสุขให้แก่ทุกฝ่าย (Creating Shared Values) ตั้งแต่ ผู้บริโภค ผู้ประกอบการร้านค้า หรือกลุ่มผู้ค้ารายย่อย ชุมชนสังคม ไปจนถึงระดับประเทศ
ดังนั้น สยามพิวรรธน์ จึงสร้างต้นแบบใหม่ๆ ของการค้าปลีก (Creative & Innovative Retail) เพื่ออนาคตขึ้น เป็นแนวทางการทำธุรกิจรีเทลที่ตอบสนองวิถีการดำรงชีวิตเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Living) โดยโมเดลใหม่ที่นำเสนอวันนี้ ก็คือ สินค้าและบริการที่ตอบสนองชีวิตวิถีใหม่ ‘Ecotopia’ ซึ่งเป็นโครงการนำร่อง เริ่มทำมาแล้ว 2 ปี
คุณชฎาทิพ เล่าให้ฟังว่า ‘Ecotopia’ จะเกิดขึ้น ณ สยามดิสคัฟเวอรี่ เป็นอีโค่คอมมูนิตี้ ขนาดใหญ่ที่สุดในเอเซีย บนพื้นที่ 2,000 ตารางเมตร ซึ่งได้รวบรวมสินค้าเพื่อวิถีชีวิตยุคใหม่ที่ดีต่อสุขภาพและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตอบสนอง Sustainable Living ในทุกมิติ
เช่น สินค้าเพื่อสุขภาพ, สินค้าในโหมดสุขอนามัย, สินค้าที่ผลิตโดยไม่ใช้สารเคมี, สินค้า/อาหารออร์แกนิค, สินค้าที่มีกระบวนการผลิตเป็นมิตรต่อสัตว์และสิ่งแวดล้อม และ สินค้า re-use, recycle เป็นต้น นอกจากนี้จะมีการ work shop เรียนรู้การใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าเพื่อสร้างประโยชน์ต่อสังคมและโลก ทั้งนี้ Ecotopia ถูกสร้างสรรค์จากความรู้ความเชี่ยวชาญของเหล่าผู้นำ Eco-community ในสาขาต่างๆ รวม12 คน ทำงานร่วมกับสยามพิวรรธน์ เพื่อให้เป็นพื้นที่ของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสังคมให้เติบโตอย่างมีความสุข ยั่งยืน โดยคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในเดือน ก.ค. ที่จะถึงนี้
พลังของ Co-Creation & Collaboration ในยุค New Normal
สยามพิวรรธน์ ต้องการมีส่วนช่วยเพิ่มพลังบวกให้กับทุกคน เพื่อช่วยกระตุ้น สร้างสีสัน และอยากเรียกคืนรอยยิ้มให้กับทุกคนเร็วที่สุด ดังนั้น มีแพลนที่จะเปิดโซนพิเศษขึ้น ณ สยามเซ็นเตอร์ โดยร่วมกับร้านค้า แบรนด์ดัง และเหล่านักออกแบบดีไซเนอร์ของไทย สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์สำหรับชีวิตในสไตล์ New Normal ผ่านสินค้าแฟชั่นที่สร้างสรรค์ตามฟังก์ชั่นการใช้งานของชีวิตวิถีใหม่ ผลิตภัณฑ์เพื่อรักษาสุขอนามัยต่างๆ ที่มีดีไซน์ล้ำเทรนด์ รวมถึงอุปกรณ์ Gadget ทันสมัยพร้อมฟังก์ชั่นที่เหมาะกับโลกปัจจุบัน เป็นต้น
เปิดประสบการณ์ลูกค้าด้วยบริการ ‘Omni Channel Shopping’
ถึงแม้ว่าสยามพิวรรธน์จะเป็น ‘ค้าปลีกขนาดใหญ่’ และไม่เคยคิดจะผันตัวเองมาสู่แพลตฟอร์ม ‘ออนไลน์’ อย่างเต็มตัว แต่ด้วยสถานการณ์ที่ไม่เอื้อต่อการมาช้อปปิ้งโดยปกติ ดังนั้น ‘วันสยามและไอคอนสยาม’ เองก็มีช่องทางการช้อปปิ้งด้วยดิจิทัล ใช้เทคโนโลยีพร้อมตอบสนองความต้องการการช้อปปิ้งในแบบ Omni Channel Shopping ระหว่าง On-line และ Off-line
เป็นครั้งแรกที่สยามพิวรรธน์ เปิดประสบการณ์ช้อปปิ้งแบบ ‘ลักซ์ชัวรี่’ แบรนด์ทาง S-commerce ด้วยบริการ “Luxury Chat & Shop” สยามพารากอนและไอคอนสยาม ซึ่งเป็นศูนย์รวมแบรนด์เนมชั้นนำระดับโลก ซึ่งเป็นการช้อปปิ้งออนไลน์ที่ส่งตรงจากลักซ์ชัวรี่แฟล็กชิปสโตร์ถึงหน้าบ้านทีเดียว
ทั้งนี้ ในปัจจุบันมีลักซ์ชัวรี่แบรนด์ ที่เข้าร่วมจำหน่ายในช่องทาง Luxury Chat & Shop มากมาย เช่น Balenciaga, Bally, Boss Hugo Boss, Bottega Veneta, Burberry, BVLGARI, Coach, Dolce&Gabbana, Fendi, Furla, Givenchy, Gucci, Jimmy Choo, Loewe, Kwanpen, Longchamp, MaxMara, MCM, Mulberry, Michael Kors, Off-White, Paul Smith, PRADA, Philipp Plein, Salvatore Ferragamo , Tiffany & Co., Versace ซึ่งประสบความสำเร็จมีลูกค้าให้การตอบรับอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนั้น “OneSiam & ICONSIAM Chat & Shop” มีการนำเสนอสินค้าจำเป็นที่ใช้ในชีวิตประจำวัน สินค้าแฟชั่น และไลฟ์สไตล์ ที่พร้อมให้ลูกค้าช้อปปิ้งได้ทุกที่ทุกเวลา พร้อมบริการสื่อสารระหว่างลูกค้ากับวันสยามอย่างรวดเร็วและสะดวกสบายด้วย
‘Virtual Mall’ บริการที่เอาใจคนยุค New Normal
ในระหว่างที่เกิดวิกฤตการระบาดนี้ มีอีกหนึ่งโมเดลที่น่าสนใจจาก สยามพิวรรธน์ นั่นก็คือ ‘Siam Center Virtual Mall’ ที่ยกสยามเซ็นเตอร์ เข้าสู่แพลตฟอร์มช้อปปิ้งบนโลกดิจิทัลอย่างเต็มตัว โดยได้ร่วมมือกับ ‘LAZADA’ ผู้นำด้านอีคอมเมิร์ซแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งที่ผ่านมาถือว่ากระแสตอบรับจากลูกค้าอยู่ในระดับที่ค่อนข้างดี ดังนั้น โมเดลนี้ก็น่าจะเป็นโมเดลแห่งอนาคตของหลายๆ มอลล์ได้ไม่ยาก
ทั้งนี้ คุณชฎาทิพ กล่าวย้ำว่า สถานการณ์ในตอนนี้การที่เราจะชนะใจลูกค้า ส่วนหนึ่งก็คงเป็นเรื่อง ‘ราคา’ แต่มันไม่พอแค่นั้น เราจะต้องมี ‘value’ หรือความคุ้มค่าเสริมเข้าไปด้วย ประโยชน์ที่เกิดตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำเป็นเรื่องที่สำคัญมาก และเราได้พิสูจน์แล้ว ดังนั้น เราจึงมองว่าเป็นเรื่องที่ดีที่เราจะบอกแชร์สูตรสำเร็จนี้ให้กับคนอื่นๆ เรานิยาม ‘ความเก่งของยุคนี้’ ก็คือ work as one ซึ่งหมายถึงการเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน การปรับตัวได้ดีเยี่ยม และสยามพิวรรธน์โชคดีที่มีทีมทำงานที่ดีและเข้าใจ พร้อมผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน
“เราคิดว่าช่วงเวลานี้เป็นโอกาสที่ดีที่เราจะ reset ทุกอย่าง รวมถึง re-branding ธุรกิจในมิติที่จำเป็นด้วย อย่างน้อยๆ เราต้องเริ่มจากการปรับ mindset ของตัวเองก่อน พร้อมเรียนรู้ พร้อมเปิดใจ และพร้อมลงมือทำ ฟื้นธุรกิจในช่วง Post COVID-19”
สยามพิวรรธน์ ยังทิ้งท้ายกิมมิคนารักๆ ด้วย ‘หน้ากากผ้าที่มีรอยยิ้ม’ อยู่ด้วย โดยพูดว่า เราคือบ้านหลังที่ 2 ของคุณ และเราอยากมอบความสุขคืนให้กับลูกค้า ในช่วงวิกฤตแบบนี้