มิสทิน (MISTINE) แบรนด์เครื่องสำอางที่คนไทยภาคภูมิใจ รตอกย้ำจุดยืนนำนวัตกรรมสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์คุณภาพ กับความสำเร็จในการบุกตลาดจีน ขึ้นเป็นแบรดน์อันดับ 1 ในทุกแพล็ตฟอร์ม และเตรียม IPO ตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ในปี 2026 เป็นใบเบิกทางสู่การบุกตลาดโกลบอลอย่างเต็มตัวในเสต็ปถัดไป
ดนัย ดีโรจนวงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เบทเตอร์เวย์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้จัดจำหน่ายเครื่องสำอาง “มิสทิน” (MISTINE) กล่าวว่า ช่วงที่ผ่านมาทางมิสทินปรับตัวรับมือกับเปลี่ยนแปลงจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมาโดยตลอด ทำการตลาดที่ชาเลนจ์ครอบคลุมทุกช่องทางทั้งออฟไลน์และออนไลน์ทุกแพลตฟอร์มควบคู่การขยายธุรกิจสู่ตลาดใหม่ในต่างประเทศได้ โดยเฉพาะประเทศจีน ซึ่งตอนนี้เติบโตแซงหน้าไทยและ CLMV ไปแล้ว ความสำเร็จตรงจุดนี้ยอมรับว่าเกิดจากการตามรอยหนัง Lost in Thailand ที่โด่งดังมากทีป่ระเทศจีน เหมือนเป็นการเปิดตลาดการท่องเที่ยวไทยให้กับคนจีนได้รับรู้มากขึ้น และผลักดันทำให้ “มิสทีน” เป็นที่รู้จักมากขึ้นด้วย
ความสำเร็จของการบุกตลาดจีน
ความสำเร็จของ “มิสทีน” ซึ่งเราได้ไปเปิดบริษัทจ้อยเวนเจอร์ ในนาม บริษัท เบทเตอร์เวย์ (เซินเจิ้น) จำกัด ดำเนินการนำเข้าสินค้ามิสทีนที่ผลิตในไทยไปจำหน่ายที่ประเทศจีน ผ่านช่องทางออนไลน์กว่า 95% ทั้ง Tmall, Douyin (TikTok จีน) ฯลฯ แม้กระทั่งในช่วงโควิดก็ยังสร้างยอดขายที่เติบโต โดยปี 2022 สามารถปิดยอดขายได้มากกว่า 9,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าในปีนี้ (2033) ก็จะปิดยอดขายได้ที่ 16,000 ล้านบาท จากเริ่มต้นเมื่อ 6 ปีที่แล้ว ที่ทุนจดทะเบียนแค่ 10 ล้านมาจนถึงวันนี้เราสร้างมูลค่าทางธุรกิจได้มากกว่า 15,000 ล้านบาทแล้ว ทำให้เรามั่นใจว่า จากความสำเร็จที่ประเทศจีน เราจะก้าวไปสู่โกลบอล สู่ตลาดโลกได้อย่างแน่นอน
การ Rebranding ในขวบปีที่ 36
จากจุดเริ่มต้นการขายผ่านตัวแทนจำหน่าย ที่เราคุ้นเคยด้วยเสียง “นิ่งหน่อง มิสทีน มาแล้วค่ะ” ปีนี้ก็ย่างเข้าปีที่ 36 แล้ว ซึ่ง “มิสทีน” ก็ผ่านการรีแบรนด์ รีเฟรชมาหลายครั้งปีนี้ก็เช่นกัน ก็ถึงเวลาที่เราจะต้องปรับตัวอีกครั้งเมื่อตลาดเปลี่ยนแปลง ผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมเราก็คงต้องปรับตัวเป็นธรรมดา
อย่างลูกค้าที่จีน ซึ่งมีมากกว่า 1,400 ล้านคน ลูกค้า CLMV มีมากกว่า 2,000 ล้านคน โดยเฉพาะเวียดนามซึ่งตอนนี้จัดว่าเป็นตลาดใหญ่และผู้บริโภคมีกำลังซื้อสูงด้วย เราก็อาจจะต้องทำการศึกษาตลาดและความต้องการของลูกค้าเราด้วย ไม่ว่าจะเป็น เรื่องของภูมิศาสตร์ อากาศ และวัฒนธรรม ที่มีความแตกต่างกัน ก็ทำให้ความสนใจซื้อเครื่องสำอาจแตกต่างกันไป
ดังนั้น ในการรีแบรนด์ดิ้งรอบนี้ จึงไม่ใช่แค่การปรับโลโก้ แต่เรายังพัฒนาอินกรีเดียนซ์ต่างๆ ให้ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้บริโภคในแต่ลประเทศด้วย
เปิดศูนย์วิจัยและทำการผลิตที่จีน
สำหรับประเทศจีนซึ่งเป็นตลาดใหญ่ของเรา เราก็ตัดสินใจที่จะทำการผลิตสินค้าที่จีนด้วย เพื่อให้ง่ายต่อการจัดจำหน่าย โดยเดิมนั้นผลิตจากไทย 99% แต่ปัจจุบัน เราผลิตที่ไทย 75% แล้วผลิตที่จีน 25% ซึ่งทำให้เราผลิตได้เร็วขึ้น คล่องตัวมากขึ้น และสามารถพัฒนาโปรดักส์ด้วยสูตรของเราเองตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าคนจีนได้ดีขึ้นเช่นกัน ซึ่งปัจจุบันสามารถผลิตสินค้าได้มากกว่า 2-3 ล้านชิ้นเลย
นอกจากการที่เราเลือกจะหันมาผลิตที่ประเทศจีนด้วยแล้ว ก็ยังเป็นครั้งแรกที่เราตัดสินใจเปิดศูนย์วิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ประเทศจีน ซึ่งตั้งอยู่ที่เซี่ยงไฮ้เป็นศูนย์วิจัยแห่งแรกนอกประเทศไทย โดยเรามีทั้งผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องสำอางมาช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ จนทำให้สินค้าเราขึ้นอันดับ 1 ในทุกๆ แพล็ตฟอร์มของอีคอมเมิร์ซจีน โดยเฉพาะไลน์ผลิตภัณฑ์กันแดดที่ยอดขายอันดับ 1 ติดต่อกันหลายปี ซึ่งการเปิดแล็บที่จีน ก็ยังทำให้เราได้ประโยชน์ในเรื่องของสิทธิบัตร เรื่องลิขสิทธิ์ Intelligence Property (ทรัพย์สินทางปัญญา) ซึ่งสำคัญมากในปัจจุบัน และเราก็ตั้งเป้าที่จะนำความสำเร็จนี้ไปสู่ตลาดโลกด้วย
มิสทีน ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ “ DR.Stephan” วิจัยและพัฒนาครีมกันแดดที่มีคุณภาพสูงสุด ด้วยการทดสอบความเข้มข้นของครีมกันแดดและประสิทธิภาพเพื่อการปกป้องผิว และร่วมกับ Malyn หัวหน้านักวิทยาศาสตร์จากการวิจัยมากว่า 30 ปี พัฒนาสูตรที่ทรงพลังและปลอดภัยที่จะช่วยปกป้องผิวของจากรังสียูวีที่เป็นอันตรายจาก สารสกัดข้าวหอมมะลิแดง เรียกว่า Taremi™ ที่มีประสิทธิภาพด้วยคุณสมบัติช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดและยังช่วยให้ความชุ่มชื่นต่อผิว
ปัจจุบันกลุ่มผลิตภัณฑ์กันแดดของมิสทินกลายเป็นแบรนด์ยอดนิยมและขายที่ดีที่สุดทั้งยอดขายจำนวนชิ้นและยอดขายรวม 33 ล้านชิ้น ครองอันดับ 1 ในช่องทาง T-Mall แซงหน้าแบรนด์เครื่องสำอางระดับโลกหลายแบรนด์จากยุโรปและญี่ปุ่น
กลยุทธ์สำคัญในการบุกตลาดจีนจนขึ้นแบรนด์อันดับ 1
เป็นที่ทราบดีว่า ทุกหัวระแหงมุ่งที่จะบุกตลาดจีน ซึ่งจัดว่ามีมูลค่าสูงอันดับโลก สิ่งที่ “มิสทีน” ทำและสร้างความสำเร็จให้กับแบรนด์ ได้รับเลือกเป็น Super Brand จาก Douyin ซึ่งเป็นแบรนด์ต่างชาติแบรนด์เดียวที่ได้รับรางวัลนี้ เพราะสร้างทราฟฟิกจำนวนมากกว่า 100 ล้านวิว ทำให้สร้างการยอมรับและสร้างเครดิตในตลาดจีนมากขึ้น สำหรับกลยุทธ์หลักที่ “มิสทีน” ใช้ มีดังนี้
#1 ใช้ความเป็นไทย
คือการใช้ตัวตนความเป็นไทยอันเป็นเอกลักษณ์สื่อสารออกมาในหลายมิติ ยกตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่เป็นเรือธงของแบรนด์ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ในไลน์กันแดด เราจะเห็นว่าแบรดน์ใหญ่ๆ ส่วนใหญ่จะมาจากประเทศเมืองหนาวแทบทั้งนั้น ไม่ว่าจะแบรนด์ฝรั่งหรือเอเชีย แต่กับ “มิสทีน” เราใช้ความเป็นแบรนด์ไทยที่ขึ้นชื่อว่าประเทศไทยแดดร้อนจัดมาก มาเป็นจุดขาย ผ่านสโลแกน “Tropical Energy” ซึ่งประสบความสำเร็จมาก คนจีนให้การต้อนรับอย่างดี
หรือ ผลิตภัณฑ์ใหม่ MISTINE Latte Velvet Lip Cream ที่ใช้คำว่า “ชาไทย” ชูเป็นจุดขาย เหมาะผู้หญิงเอเชียโดยเฉพาะ เป็นลิปเนื้อครีมบางเบามีให้เลือกแบบเนื้อกลอส/เนื้อครีมมาพร้อมโทนสีธรรมชาติ 4 เฉดสี อย่าง J01โทนชานมอ่อน J02 โทนชาแดงพุดดิ้ง V01 โทนน้ำตาลส้มลาเต้ และV02 โทนกุหลาบแห้งอ่อน ที่มีส่วนผสมของออยล์และสารก่อฟิล์ม Lip Plumping Essence มีส่วนพลัมเปอร์เซรั่มช่วยบำรุงผิวปากให้ชุ่มชื่นด้วย
#2 Soft Power ไทย
การสร้างแบรดน์ผ่าน Soft power ไทย อย่างการนำ “คู่จิ้น” หรือ “คู่วาย” ในประเทศ ซึ่งได้รับความนิยมมากที่ประเทศจีน มา Endorser ให้กับแบรนดด้วย นอกจากนี้ยังนำซอฟพาวเวอร์ไปเล่นในมุมต่างๆ เช่น กงเกงช้างไทย ชุดนักเรียนไทย ก็เป็นสิ่งที่ช่วยให้เราเข้าถึงคนจีนได้ ทำให้เรามีตัวตนในแบบของเราได้
#3 ช่องทางโซเชียลมีเดีย
ปฏิเสธไม่ได้ว่าช่องทางโซเชียลมีเดียมีบทบาทอย่างมากในทุกที่ สำหรับประเทศจีน การเข้าถึงแบรนด์ไม่ได้ทำแค่ช่องทางสื่อหลักดั้งเดิม แต่จะต้องไปที่โซเชียลมีเดียด้วย ซึ่งค่าโฆษณาปัจจุบันค่อนข้างสูง อย่างการ Live stream ก็เช่นกัน “มิสทีน” ก็ต้องใช้กลยุทธ์นี้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะวัฒนธรรมคนจีน คือคุณภาพนำกระแส ดังนั้น สิ่งที่นักไลฟ์จะนำมาไลฟ์ได้ เขาจะต้องดูก่อนว่าแบรนด์ที่เขานำมาไลฟ์นั้น มีความน่าเชื่อถือหรือมีคุณภาพมากแค่ไหน ไม่ได้ง่ายๆ เลยที่จะให้มาไลฟ์อะไรก็ได้
การทำตลาดโกบอล
“มิสทีน” เตรียมจะบุกตลาดโลกอย่างจริงจังแล้ว โดยจะเริ่มต้นที่อาเซียน ซึ่งคาดว่าประเทศแรกคืออินโดนีเซีย ก่อน และก้าวต่อไปคือประเทศทางตะวันออกกลาง ผ่านสินค้าสู่ความเป็นไลฟ์สไตล์แบรนด์ “AMORN COLLECTION” ด้วยแรงบันดาลใจจากความทรงจำ Apothecary AMORN Collection ช่วยบำบัดและสร้างความสุขให้กับชีวิต มีให้เลือก 3 ผลิตภัณฑ์ คือ 1.เทียนหอม (AMORN SCENTED CANDLE) ทั้งหมด 3 กลิ่น กลิ่นแรกมีชื่อว่า Mistine Amorn Myth & Saga ความหอมมีเสน่ห์ กลิ่นที่สอง Mistine Amorn Beyond The Dawn กลิ่นนี้ช่วยให้หลับสบายเหมาะกับการพักผ่อน และกลิ่นที่สาม Mistine Amorn Autumn of ’88 กลิ่นที่ทำให้มีความสุขอีกแบบหนึ่ง 2.ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและสครับผิว (AMORN BALM SCRUB) จากการคัดสรรส่วนผสมอย่างประณีตจากข้าวหอมมะลิแดง ข้าวหอมมะลิ และข้าวเหนียวดำของไทย เป็นการดูแลผิวอย่างล้ำลึก เพื่อผิวนุ่มชุ่มชื่นกระจ่างใสและดูอ่อนเยาว์สุขภาพดีอย่างเป็นธรรมชาติทำให้ผิวเราสดชื่น และรู้สึกตื่นตัวตลอดเวลา 3.น้ำมันอโรมาหอมระเหย (AMORN MASSAGE OIL) พลังแห่งอโรมาเธอราพี สร้างสรรค์กลิ่นหอมสดชื่นน่ารื่นรมย์ สัมผัสความรู้สึกอบอุ่นและสบายจากน้ำมันหอมระเหยจาก Tangerine, Cedarwood และน้ำมันตะไคร้หอมที่ได้จากพืชและสมุนไพรธรรมชาติบริสุทธิ์และมีคุณภาพสูงยังช่วยรักษาสมดุลทางอารมณ์
ทั้งหมดนี้ ทำให้ “มิสทีน” คือแบรนด์ที่คนไทยภาคภูมิใจในการก้าวสู่ อินเตอร์เนชั่นแนลแบรนด์ในระดับสากล ปักธงชาติไทยไปสู่ประเทศต่างๆ อย่างประสบความสำเร็จ.