โลกหมุนเร็วขึ้นทุกวันธุรกิจก็ต้องปรับตัวตามให้ทัน เช่นเดียวกันกับ “ธุรกิจสื่อ” ที่เราได้เห็นการปรับตัวจากสื่ออนาล็อกมาสู่ดิจิทัลกันแล้วในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาความเปลี่ยนแปลงนั้นยังคงดำเนินต่อไปเพราะเวลานี้ “สื่อดิจิทัล” เองที่ประความสำเร็จกับเทคโนโลยีในช่วงหลายปีที่ผ่านมาก็ต้องปรับตัวหาธุรกิจใหม่ๆเพื่อความอยู่รอดอย่างยั่งยืนแล้วเช่นกัน
หนึ่งในธุรกิจใหม่ที่ว่าก็คือการจัดงาน Event ที่หลายๆสื่อกระโดดเข้ามาทำจนประสบความสำเร็จสามารถแข่งขันกับผู้จัด Event ผู้ครองตลาดเดิมอยู่ได้ ซึ่งในจำนวนนั้นก็คือบริษัท “Cloud and Ground” เจ้าของสื่อ “The Cloud” รวมไปถึง “LIKEME” บริษัทเจ้าของสื่ออย่าง aomMONEY ที่กระโดดเข้ามาทำธุรกิจ Event จนกลายเป็นกระแสและสร้างรายได้ให้กับธุรกิจได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ
สำหรับ Cloud and Ground นอกจาก Thailand Coffee Fest ที่ปีนี้จัดเป็นครั้งที่ 10 แล้ว ยังมีอีกหลายงานในมือเช่น “Thailand Rice Fest” งานเทศกาลข้าวท้องถิ่นเพื่อเศรษฐกิจยั่งยืน “Family Business Forum” งานสัมมนาธุรกิจครอบครัว “Sustrends” เวทีเสวนาด้านความยั่งยืน “Amazing Green Fest” เวทีเสวนาเพื่อการท่องเที่ยวยั่งยืนด้วย
ส่วน LIKEME นอกจากจะมีงาน “Martech Expo” ทุกๆปีแล้วก็ยังมีงานอย่าง “Future Trend Ahead” งาน Summit สำหรับมองเทรนด์อนาคต, “Future Trend Awards” งานแจกรางวัลผู้นำธุรกิจที่เป็น Trend Setter ของประเทศ รวมถึง “Work Life Fest” เทศกาลสำหรับคนทำงานให้ได้ทั้ง Work Wealth Health Fun
ล่าสุดในงาน Online to Onsite Evolution ที่จัดโดย IMPACT Exhibition and Convention Center ได้เชิญผู้บริหารจากสื่อทั้งสองเจ้าอย่างคุณ ช้างน้อย กุญชร ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการ Cloud and Ground และคุณเดียร์ ธนโชติ วิสุทธิสมาน ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LIKEME ได้มาแบ่งปันประสบการณ์การจัดอีเวนท์เพื่อเป็นอีกช่องทางสร้างรายได้ ก้าวข้ามความท้าทายและเปิดเคล็ดลับความสำเร็จให้กับผู้ที่สนใจกระโดดเข้ามาสู่ธุรกิจนี้เอาไว้อย่างน่าสนใจ
LIKEME ปรับตัวแข่งขันสร้าง Multi Revenue
คุณเดียร์แห่ง LIKEME ผู้มีประสบการณ์ในวงการสื่อมา 12 ปีตั้งแต่ยุคบุกเบิกสื่อออนไลน์อย่าง Infographic Thailand อธิบายถึงเหตุผลที่เข้ามาจัด Event เอาไว้ว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะสื่อยุคออนไลน์ยุคนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนเพราะตอนนี้การแข่งขันสูงขึ้นมาก ดังนั้นการสร้างรายได้จากทุกช่องทางหรือ Multi Revenue เป็นสิ่งสำคัญ
“ตอนเริ่มต้น มันง่ายมาก ผมมองว่าตลาดนี้ลูกค้ามีเงินแต่ไม่มีสื่อลง แต่ตอนนี้ไม่ใช่เพราะมีสื่ออยู่เต็มไปหมด ลูกค้ามีตัวเลือกมากกว่าเดิม ทำตลาดเข้มข้นทุกวัน เราทรานส์ฟอร์มมาก็ 4-5 ครั้งแล้วจากสื่อ สู่เอเจนซี่ และอื่นๆ ตอนนี้จะเข้มข้นมากขึ้นอีกซึ่งจริงๆแล้วอาจไม่ใช่แค่สื่อด้วยแต่ทุกๆธุรกิจ ดังนั้นเราต้องสร้าง Multi Revenue สร้างรายได้จากทุกช่องทางที่มีโอกาส” คุณเดียร์เล่า
ทำ Event แบบนักธุรกิจสร้าง Product มาแก้ปัญหา
คุณเดียร์เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการเข้ามาทำ Event ของ LIKEME ว่ามาจากการเริ่มต้นธุรกิจแบบ Startup ที่มองเห็นปัญหาก่อนในเรื่องเครื่องมือ Martech ที่ผู้ใช้งานก็ไม่รู้ว่าจะเลือกใช้ตัวไหน ส่วนคนขายก็ทำการตลาดไม่เป็นก็เลยตัดสินใจจับมา Match กันจนเกิดเป็นงาน Martech Expo ขึ้นมา
“โชคดีที่เราคิดมองเห็นปัญหาถูกว่าบริษัทไม่รู้ว่าจะใช้เครื่องมือตัวไหนดีถ้าไปเรียนออนไลน์ก็ไม่จบ ส่วนคนออกบูธก็ต้องโฆษณาผ่าน internet ต้องยิงโฆษณาทำการตลาดไม่ค่อยเป็น เราเลยจับคนเหล่านี้มา match กัน” คุณเดียร์เล่า
อย่างไรก็ตามการทำ Event ก็มีความท้าทายเช่นกัน ความยากก็คือเรื่องของ Feasibility หรือการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการนั้นๆอย่างละเอียด ต้องมอง Worst Case Senario ให้ออก มีจุด Cut off ที่ชัดเจนว่าจุดไหนที่ไปต่อแล้วจะไม่คุ้มซึ่งที่ผ่านมาก็มีหลายๆงานที่วางแผนแล้วไม่ได้จัดก็มี
Prime Time มีไม่นานต้องเก็บเกี่ยวให้คุ้ม
คุณเดียร์ แนะนำสื่อ อินฟลูเอ็นเซอร์ หรือ KOL ที่เวลานี้กำลังเป็นกระแสว่าในช่วงนี้ที่เป็นช่วง Prime Time ต้องเก็บเกี่ยวให้คุ้มด้วยการสร้างธุรกิจหรือ Product ใหม่ๆอย่างเช่น Event ขึ้นมาสร้างรายได้เร็วๆ เพราะแต่ละ Product ก็มี Life Cycle ที่มีขึ้นและก็มีตกเช่นกัน
“ผมมองว่ามันเป็น product รูกแบบหนึ่งที่มี Life Cycle ที่มีขึ้นมีตก ในฐานะ Media Owner ช่วงที่ขึ้นก็ต้องเก็บเกี่ยวเต็มที่ ตอนนี้ผมสร้างมา 4 Event และจะขยายเป็น 6 ผมมองว่าเมื่อสร้าง Martech Expo แล้วเป็นกระแสมัน Hype มากผมก็ต้องใช้ช่วงเวลานี้ปั่นอีก 4-5 Event แต่ถ้ารอให้ดรอปแล้วทำมันก็จะไม่ sexy แล้วดังนั้นต้องทำให้ทัน” คุณเดียร์เล่า
คุณเดียร์เสริมด้วยว่า Media ที่ทำ Event ไม่ได้เป็นแค่ Product ที่จะสร้างรายได้เท่านั้น แต่ต่อไปมันจะกลายเป็น Platform ที่ต่อยอดไปได้อีกมากมาย อย่างเช่น Martech Expo ที่สามารถต่อยอดไปได้อีกจากการรวบรวมเอาคนสาย Martech มารวมกัน
The Cloud กับธุรกิจ Event ที่ใช้ Purpose นำ
ด้านคุณช้างน้อย เล่าในอีกมุมหนึ่งว่าการกระโดดเข้ามาทำ event เป็นกลยุทธ์ที่ตัวเองใช้มาตั้งแต่ยุค วิทยุ และ แมกกาซีน ที่เคยสร้างปรากฏการณ์ Bike Fest มาแล้วในอดีต เมื่อมาทำ The Cloud ก็เลยใช้กลยุทธ์เดิมโดยไม่เน้นเริ่มต้นที่ Business แต่เน้น “Purpose” หรือ “วัตุประสงค์นำ” โดยมีแนวคิดว่า Storytelling จะสามารถช่วยให้ชีวิตคนดีขึ้นได้
“The Cloud เราอยากใช้ Storytelling ทำให้ชีวิตคนไทยดีขึ้น Cloud เหมือนก้อนเมฆที่เปลี่ยนสถานะได้ เป็นบทความ เป็น podcast เป็นคลิปวิดีโอก็ได้ ส่วน Ground คือประสบการณ์ ที่เป็นได้หลายรูปแบบ เป็น Festival ก็ได้เป็นหลักสูตรดีๆก็ได้ เป็น Chef Table ก็ได้เป็น Trip ต่างประเทศก็ได้เราเชื่อว่า Storytelling มีได้หลากหลายรูปแบบและทำให้ชีวิตคนไทยดีขึ้นได้” คุณช้างน้อยเล่า
คุณช้างน้อยเล่าว่า ด้วยแนวคิด Storytelling สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับ Supply Chain นั้นๆทำให้เกิด Event แรกของ Cloud and Ground คือ Thailand Coffee Fest ขึ้น จากนั้นตามมาด้วยคือ Thailand Rice Fest ซึ่งคนถามเยอะว่าจะได้กำไรหรือไม่ ซึ่งคุณช้างน้อยบอกว่า ข้าวนั้นถ้าทำแล้วดีคนจะได้ประโยชน์มาก ปัจจุบันคนไทยปลูกได้ 5 ล้านครัวเรือน หมายความถึงคน 15 ล้านคน ชีวิตจะดีขึ้น
อีก Purpose คือเรื่อง “อยากให้คนไทยเข้าใจความหมายของชีวิต” นั่นทำให้กำลังจะมีงานที่ชื่อว่า “Dead Fest” หรืองานสำหรับเตรียมตัวตาย งานที่อยากให้คนตระหนักรู้ว่าคนจะ “ตายดี” ทำอย่างไร
เช่นเดียวกับอีก Purpose คือ “ธุรกิจยืนยาว” นำไปสู่การจัดหลักสูตร ปรัชญาธุรกิจ 100 ปี ก็มีงาน SusTrend อัพเดทเทรนด์ด้านความยั่งยืน รวมไปถึงงาน Family Business Forum คิดว่าธุรกิจที่จะยืนยาวได้การส่งต่อธุรกิจจากรุ่นสู่รุ่นก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน
ส่วนในมุมการเปลี่ยนแปลงของสื่อคุณช้างน้อยมองว่าประสบการณ์ทำงาน 25 ปีเห็นการเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปตลอด แต่ยุคนี้การเปลี่ยนแปลงเร็วกว่ายุคก่อนมากแค่ 6 เดือนหรือแค่สัปดาห์เดียวก็สามารถเปลี่ยนได้แล้วดังนั้นต้องปรับตัวให้เร็ว เช่นเดียวกับการจัดงาน event หรือ exhibition ที่ปัจจุบันใครๆก็จัดได้
จัด Event ให้สำเร็จ Branding สำคัญ
คุณช้างน้อย พูดถึงการสร้างธุรกิจ event ให้สำเร็จสร้างรายได้เติบโตเป็นอีกหนึ่งแหล่งรายได้ใหม่เพื่อเสริมกับรายได้จาก Media ที่ลดลงนั้นสิ่งสำคัญก็คือ “Branding” เพราะหาก Branding ดีก็จะช่วยดึงดูดคนดีๆเข้ามาช่วยเราโดยไม่ต้องออกแรงเยอะ
“เหมือน Thailand Coffee Fest ที่ Supply Chain ไม่ได้มีแค่คนขายกาแฟ คนซื้อกาแฟ แต่ Supply Chain มีเกษตรกร คนปลูกป่า ชาวบ้าน ที่ได้ประโยชน์จากชุมชน มี Processor รับซื้อกาแฟมาตาก มีผู้นำชุมชน มีคนคั่วกาแฟ มีบาริสต้า มีร้านกาแฟ เจ้าของร้านกาแฟ มีนักออกแบบร้านกาแฟ นักชิมเซียนกาแฟ ทุกอย่างเชื่อมโยงกับหมด เวลามองไม่ได้มองแค่คนมีตังมาจ่าย แต่มองทุกอย่างที่เชื่อมกัน และสุดท้ายสิ่งที่จะทำให้ value เราสูงขึ้นคือ branding ถ้าทำดีจะมีคนดีๆเดินมาหาเราโดยที่ไม่ต้องออกแรงเยอะ” คุณช้างน้อยเล่า
อย่างไรก็ตามตลาด Event ก็คือธุรกิจที่เสี่ยงสูงแต่ก็มีผลตอบแทนที่สูงเช่นกัน โดยส่วนใหญ่คนที่จัดจะสำเร็จในปีแรกแต่ของจริงคือปีถัดมาที่จะเป็นบทพิสูจน์ แต่ถ้าทำได้ดีก็จะติดลมบนได้เลย
“คิดว่าถ้าให้อะไรได้ต้องตั้งประเด็นให้ชัดหา Supply Chain ที่ได้ประโยชน์จากสิ่งนี้จริงๆ สิ่งที่จะทำให้งานอยู่ได้ยาวๆ คือคนที่ออกบูธ คนที่มาร่วมกับเราต้องได้อะไรกลับไปอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย” คุณช้างน้อยระบุ
Media ทำ Event มีข้อได้เปรียบ
ในปัจจุบันการเป็น Media แล้วมาทำ Event มีความได้เปรียบกว่าเช่นกันโดยเฉพาะในเรื่องของการขายสปอนเซอร์ที่เป็นสิ่งสำคัญเพราะหากจะขายบูธอย่างเดียวนั้นอาจจะไม่เพียงพอกับค่าสถานที่ซึ่งเป็นความท้าทายมากที่สุดในการจัดงาน Event
“ถ้าเราเป็นคนจัด Event ที่ไม่มี Media จะขายสปอนได้ยาก จากที่เคยคุยกับลูกค้า ลูกค้าจะบอกว่าถ้าเราเป็นแค่ผู้จัด Event แล้วขอสปอนเซอร์เค้าจะไม่เข้ามาคุยเลย แต่พอเราเป็น Media ลูกค้าจะคุยกับเราง่ายกว่าอยากคุยกับเรามากกว่าเพราะพอเป็น Media เวลาเคลม Value ก็จะดีกว่า” คุณเดียร์เล่า
ในอีกมุมหนึ่งคุณช้างน้อยก็เล่าด้วยว่า แม้การเป็น Media จัด Event จะแข่งขันสูงแต่ปัจจุบันหากเป็น Media ในเทียร์เดียวกันอาจอยู่ใน Supply Chain เดียวกันก็พร้อมจับมือกันสร้างมูลค่าให้วงการสนับสนุนซึ่งกันและกันได้ โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันเส้นแบ่งของ Media พร่าเลือนและไม่ได้แบ่งแยกกันอีกต่อไปแล้ว
ทั้งหมดนี้คือแนวคิดของสองผู้บริหารสื่อที่ประสบความสำเร็จกับการจัดงาน Event สำหรับสื่อหรือแม้แต่อินฟลูเอนเซอร์ในยุคนี้แล้วหลายอย่างเป็นสิ่งที่สามารถนำมาคิดและนำไปสร้างธุรกิจเป็นช่องทางสร้างรายได้ใหม่ๆในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในยุคนี้ได้ และทุกวันนี้ก็หมดยุคของการแข่งขันแล้วแต่จะมีแต่การช่วยเหลือกันเพื่อยกระดับวงการให้มีมูลค่าสูงขึ้น และไม่ใช่แค่สื่อเท่านั้นที่จะช่วยกันแต่ยังมี Vanue อย่าง Impact มาช่วย support ด้วยทำให้การจัด Event ในทุกวันนี้ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป