“โลจิสติกส์” คือ หนึ่งในเบื้องหลังความสำเร็จของ “LAZADA” (ลาซาด้า) แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งไทย เพราะการมีระบบบริหารจัดการโลจิสติกส์ที่ดี ตั้งแต่ First mile Operation ไปจนถึง Last mile Delivery จัดส่งสินค้าถึงมือผู้รับปลายทางได้อย่างรวดเร็ว ถูกต้องแม่นยำ ด้วยต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ ย่อมสะท้อนไปถึงประสบการณ์ที่ลูกค้าจะได้รับ
โดยมี “LAZADA Logistics” (ลาซาด้า โลจิสติกส์) หน่วยงานสำคัญของ LAZADA ทำหน้าที่บริหารจัดการโลจิสติกส์อีคอมเมิร์ซครบวงจร ทั้ง Fulfillment Center, ศูนย์คัดแยกสินค้า, การบริหารสต็อคสินค้าให้กับผู้ขาย หรือร้านค้า การแพ็คสินค้า ไปจนถึงบริหารเครือข่ายการจัดส่ง ทั้งบริการ LAZADA Express (LEX) และของพาร์ทเนอร์ขนส่ง เพื่อทำให้การเดินหน้าของพัสดุจากต้นทาง ไปส่งถึงมือผู้รับปลายทาง ด้วยความรวดเร็ว สะดวก และแม่นยำ
“LAZADA Logistics” ถือเป็นกองกำลังสำคัญในการสร้างความแข็งแกร่งให้กับ Ecosystem “LAZADA” ทั้งความได้เปรียบทางการแข่งขัน (Competitive Advantage) ซึ่งล่าสุดได้เปิดตัว “ศูนย์คัดแยกสินค้า” แห่งใหม่ที่เทพารักษ์ สมุทรปราการ เพิ่มศักยภาพการให้บริการ “จัดส่งเร็วพิเศษ” (Priority Delivery) ภายใน 2 วันถึงมือผู้รับปลายทาง และเพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย
จับตา “อีคอมเมิร์ซไทย” แตะ 3.2 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2025 – “โลจิสติกส์” ยิ่งทวีความสำคัญ!
ตามรายงาน e-Conomy SEA Report จัดทำโดย Google, Temasek และ Bain & Company ฉายภาพรวม “อุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซ ในประเทศไทย” มี GMV (ยอดขายสินค้าออนไลน์โดยรวม) ในปี 2022 อยู่ที่กว่า 2.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดการณ์ว่าในปี 2025 จะเพิ่มขึ้นเป็น 3.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
แม้ทุกวันนี้ผู้คนออกมาใช้ชีวิตนอกบ้านตามปกติแล้ว แต่การช้อปออนไลน์ ไม่ได้ลดลง แต่กลับยังคงเติบโต และกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตประจำวันของผู้คน และเป็นหนึ่งในช่องทางการขายหลักของผู้ประกอบการ SME รายย่อย และแบรนด์ใหญ่
เมื่อการค้าออนไลน์ขยายตัวมากขึ้นเท่าไร “ระบบโลจิสติกส์” ก็ยิ่งทวีความสำคัญ นั่นเพราะเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้สินค้าจากต้นทาง ส่งถึงมือผู้รับปลายทางได้อย่างรวดเร็ว ถูกต้อง แม่นยำ และพัสดุอยู่ในสภาพดี ไม่แตกหัก หรือเสียหาย ซึ่งเชื่อมโยงหลายองค์ประกอบเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น
– การบริหารจัดการคลังสินค้า และสินค้าคงคลัง (Inventory Management) เพื่อให้มั่นใจมีสต็อคสินค้าอยู่ในระดับเหมาะสม เพื่อลดปัญหาสินค้าล้นสต็อก และสินค้าขาดสต็อก ให้มั่นใจได้ว่าเมื่อมีคำสั่งซื้อเข้ามา จะมีรายการสินค้านั้นๆ จัดส่งถึงมือลูกค้า
– ระบบคัดแยกพัสดุ และกระจายสินค้าที่มีประสิทธิภาพ (Parcel Sorting & Distribution) อีกหนึ่งกระบวนการด้านโลจิสติกส์ เพื่อการจัดส่งพัสดุที่รวดเร็ว ถูกต้อง และแม่นยำ
– การจัดส่งถึงผู้รับปลายทาง (Delivery) หลังจากผ่านกระบวนการคัดแยกพัสดุ และกระจายพัสดุไปยังศูนย์กระจายสินค้าต่างๆ ตามโซนพื้นที่ ต้องมี Network การจัดส่ง ซึ่งผู้ให้บริการอีคอมเมิร์ซต้องมีตัวเลือกการจัดส่งที่หลากหลายให้กับลูกค้าผู้ซื้อสินค้า มีระบบติดตามการจัดส่ง และการจัดส่งที่รวดเร็ว ถูกต้อง
– การบริหารจัดการเวลาและต้นทุนมีประสิทธิภาพ (Time & Cost Efficiency) ระบบโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพ สามารถลดเวลา และต้นทุนการดำเนินงาน เช่น นำเทคโนโลยีอัตโนมัติมาใช้ในกระบวนการโลจิสติกส์มากขึ้น เพื่อลดเวลา การปรับเส้นทางการขนส่ง ลดต้นทุนพลังงาน ลดขยะบรรจุภัณฑ์ รวมถึงลดค่าใช้จ่ายในระหว่างการขนส่งต่างๆ
เพราะฉะนั้นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่มีระบบโลจิสติกส์ประสิทธิภาพ ตอบโจทย์ทั้งลดเวลาและต้นทุนการดำเนินงาน-ขนส่ง, เพิ่มสปีดการจัดส่งที่เร็วขึ้น, มีความแม่นยำ และความเชื่อถือได้, พัสดุอยู่ในสภาพดี ตลอดจนการให้บริการที่ดีของพนักงานขนส่ง ย่อมสร้าง “Competitive Advantage” หรือความได้เปรียบทางการแข่งขันในสมรภูมิอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซ และสร้าง “Customer Experience” ที่ดีให้กับลูกค้า
ในที่สุดแล้วจะทำให้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ สามารถรักษาฐานลูกค้า (Customer Retention) ในระยะยาว ซึ่งจะ beyond ไปมากกว่าการแข่งขันบนสงครามราคาและอัดโปรโมชั่นอย่างเดียว!
“LAZADA Logistics” ชู 3 บริการโลจิสติกส์ครบวงจร
ในปี 2021 LAZADA ได้ปรับโฉมแบรนด์โลจิสติกส์ขององค์กรใหม่ ภายใต้ชื่อ “LAZADA Logistics” (ลาซาด้า โลจิสติกส์) มาพร้อมเฉดสีฟ้าแบบใหม่ เพื่อสะท้อนความมีประสิทธิภาพ และความน่าเชื่อถือ สอดคล้องกับความมุ่งมั่นของ LAZADA ในการส่งมอบโซลูชันด้านโลจิสติกส์ที่น่าเชื่อถือและครบวงจรให้แก่แบรนด์ ผู้ขาย และผู้บริโภคในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
บริการของ LAZADA Logistics ในประเทศไทย ประกอบด้วย 3 บริการหลักคือ
1. Delivery Service: พันธกิจสำคัญของ LAZADA คือ นำสินค้าจากต้นทาง ส่งถึงมือลูกค้าปลายทาง ด้วยความเร็วสูงสุด ภายใต้ต้นทุนที่แข่งขันได้ ดังนั้นเพื่อสนับสนุนพันธกิจนี้ จึงมีะบริการขนส่ง “LAZADA Express” หรือ LEX เป็นเครือข่ายการจัดส่งสินค้าให้กับลูกค้า
ควบคู่กับการทำงานร่วมกับพันธมิตรขนส่งอื่น ในการสร้างเครือข่ายโลจิสติกส์ทั่วประเทศ รองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซ และยอดสั่งซื้อ ทั้งในช่วงปกติ และช่วง Mega Campaign เช่น เทศกาล Double Day ของเดือนต่างๆ
2. Fulfillment by LAZADA (FBL): บริการจัดเก็บ แพ็คสินค้า พร้อมจัดส่งสินค้าให้สำหรับผู้ขายที่เปิดร้านบน LAZADA ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการ SME หรือแบรนด์ สามารถเอาสินค้ามาฝากไว้กับ LAZADA มีคลังสินค้าที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ทาง LAZADA จะดูแลโลจิสติกส์ให้ครบวงจร ตั้งแต่กระบวนการจัดเก็บสินค้า แพ็คสินค้า จัดส่ง
3. Multi-Channel Logistics (MCL): บริการโลจิสติกส์หลากหลายช่องทาง สำหรับผู้ขายที่ขายผ่านหลายแพลตฟอร์ม เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ขาย LAZADA จึงพัฒนาโซลูชันโลจิสติกส์ครบวงจร ครอบคลุมทั้งการจัดเก็บสินค้า การบริหารสต็อกสินค้า การแพ็คสินค้า รวมถึงการขนส่งทุกคำสั่งซื้อ เพื่อตอบโจทย์การขายสินค้าผ่านอีคอมเมิร์ซหลายแพลตฟอร์ม ไม่ว่าผู้บริโภคจะซื้อสินค้าผ่าน LAZADA หรือแพลตฟอร์มอื่นก็ตาม
“LAZADA เชื่อว่า ecosystem ด้านโลจิสติกส์ที่ครอบคลุมและทันสมัย ถือเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่จะช่วยให้อีคอมเมิร์ซเติบโตอย่างยั่งยืน ในฐานะผู้ให้บริการโลจิสติกส์ชั้นนำที่มุ่งนำเสนอโซลูชันครบวงจร
LAZADA Logistics ให้ความสำคัญกับการส่งมอบบริการที่รวดเร็ว และไร้รอยต่อ ซึ่งรวมถึงการยกระดับศูนย์โลจิสติกส์ ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง และประสิทธิภาพของกระบวนการต่างๆ ไปจนถึงการนำเสนอบริการ “ส่งเร็วพิเศษ” ซึ่งเป็นตัวเลือกการจัดส่งสำหรับผู้บริโภคที่ต้องการได้รับสินค้าเร็วขึ้น” คุณเจมส์ มาร์แชนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายโลจิสติกส์ บริษัท ลาซาด้า จำกัด (ประเทศไทย) กล่าวถึงการพัฒนาระบบโลจิสติกส์
เปิด “ศูนย์คัดแยกสินค้าเทพารักษ์” การลงทุนครั้งใหญ่สุดของ LAZADA ประเทศไทย
ปัจจุบัน LAZADA Logistics ในประเทศไทย มี Fulfillment Center ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา, ศูนย์คัดแยกสินค้า 3 แห่งคือ สุขสวัสดิ์, ฉะเชิงเทรา (อยู่ใน Fulfillment Center) และล่าสุดได้เปิดตัว “ศูนย์คัดแยกสินค้าเทพารักษ์”
การสร้างศูนย์คัดแยกสินค้าเทพารักษ์ จะเพิ่มความสามารถด้านโลจิสติกส์ให้กับ LAZADA ประเทศไทย นั่นเพราะ
– เป็นศูนย์คัดแยกสินค้าขนาดใหญ่ที่สุดของ LAZADA ประเทศไทย ด้วยพื้นที่กว่า 35,000 ตารางเมตร
– นับเป็นการลงทุนใหญ่ที่สุดของ LAZADA ประเทศไทย และในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
– เป็นศูนย์ฯ ที่ใช้เทคโนโลยีระบบอัตโนมัติในการปฏิบัติงานกว่า 75% ของศูนย์ฯ จึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์หลายด้าน โดยระบบอัตโนมัติในการจัดเรียง คัดแยก และบรรจุพัสดุลงถุง เพื่อไปยังสถานีปลายทางต่างๆ และลดการพึ่งพาการใช้แรงงาน ช่วยให้พนักงานสามารถใช้เวลากับงานที่มีความสำคัญได้อย่างเต็มที่
– การบริหารจัดการคำสั่งซื้อ (Order Management) โดยเฉลี่ยของศูนย์ฯ ใช้ระยะเวลาไม่เกิน 2 ชั่วโมง ตั้งแต่ขั้นตอนรับสินค้าเข้ามายังศูนย์ฯ หรือ Inbound – คัดแยกพัสดุ -จนถึงขั้นตอน Outbound นำสินค้าขึ้นรถขนส่งไปยังศูนย์กระจายสินค้า
– ศูนย์คัดแยกสินค้าระบบอัตโนมัติ เร็วกว่าการใช้กำลังคนในการคัดแยกพัสดุ 3 – 4 เท่า
– นอกจากนี้ศูนย์คัดแยกสินค้าระบบอัตโนมัติ มีความแม่นยำในการคัดแยกพัสดุ ทำให้สินค้าสามารถจัดส่งได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว และช่วยลดแรงกระแทกในกระบวนการคัดแยก ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงที่พัสดุจะเสียหาย
– เพิ่มกำลังการคัดแยก เพื่อรองรับยอดคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้น ทั้งในช่วงปกติ และในช่วง Mega Campaign เมื่อรวมกำลังการคัดแยกพัสดุของศูนย์คัดแยกสินค้าทั้ง 3 แห่ง (สุขสวัสดิ์, ฉะเชิงเทรา, เทพารักษ์) สามารถรองรับได้สูงถึง 2 ล้านชิ้นต่อวัน
โดยเฉลี่ยถ้าเป็นช่วงปกติ จำนวนพัสดุเข้ามายังศูนย์คัดแยกสินค้าทั้ง 3 แห่ง อยู่ที่ 1 ล้านชิ้นต่อวัน และถ้าเป็นช่วง Mega Campaign เช่น เทศกาล Double Day จำนวนพัสดุเข้ามายังศูนย์คัดแยกสินค้าเพิ่มขึ้นเป็น 2 ล้านชิ้นต่อวัน
นอกจากนี้ LAZADA ยังมีศูนย์กระจายสินค้า หรือฮับในภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ ทำหน้าที่กระจายสินค้าถึงผู้รับปลายทาง โดยปัจจุบันสินค้าที่ขายบนแพลตฟอร์ม LAZADA ประเทศไทย ปัจจุบันกว่า 50% จัดส่งโดย LAZADA Express (LEX) ขณะที่อีกส่วนจัดส่งผ่านพันธมิตรขนส่ง
จับอินไซต์นักช้อปต้องการจัดส่งเร็ว สู่การพัฒนาบริการ “ส่งเร็วพิเศษ” ภายใน 2 วัน
LAZADA ทำการสำรวจ พบว่านักช้อปออนไลน์ต้องการบริการจัดส่งเร็ว
– 43% ของนักช้อปออนไลน์ คาดหวังว่าเมื่อสั่งซื้อสินค้าวันนี้ ในวันพรุ่งนี้จะได้รับสินค้า
– 55% ของผู้ตอบแบบสอบถามบอกว่า การจัดส่งเร็ว ทำให้ยอดขายของร้านค้าสูงขึ้น เพราะฉะนั้นร้านค้าไหนจัดส่งเร็ว จัดส่งดี ย่อมมีโอกาสได้รับรีวิวดีๆ จากลูกค้ามากขึ้น
จากผลสำรวจดังกล่าว LAZADA จึงได้พัฒนาบริการ “ส่งเร็วพิเศษ” (Priority Delivery) ผู้ซื้อจะได้รับสินค้าภายใน 2 วันทำการหลังจากวันที่ทำการสั่งซื้อสินค้า
– Next Day Delivery: สำหรับร้านค้าบนแพลตฟอร์ม LAZADA เมื่อนักช้อปสั่งซื้อสินค้าก่อน 20.00 นง จะนำส่งถึงผู้รับในวันรุ่งขึ้น
– Two Day Delivery: สำหรับสินค้าของผู้ขายอีคอมเมิร์ซแพลตฟอร์มอื่น นำส่งภายใน 2 วัน เหตุผลที่ต้องใช้เวลาจัดส่งใน 2 วัน เนื่องจาก 1 วันสำหรับทางร้านค้า Pick & Pack สินค้า และอีก 1 วันเป็นวันจัดส่งถึงผู้รับปลายทาง
ปัจจุบันบริการ “ส่งเร็วพิเศษ” (Priority Delivery) ครอบคลุม 23 จังหวัด เช่น กรุงเทพฯ และปริมณฑล, ชลบุรี, นครราชสีมา ฯลฯ โดยนักช้อปสามารถเลือกซื้อสินค้าที่มีสัญลักษณ์บริการส่งเร็วพิเศษได้จากหน้าเพจสินค้า หรือเลือกผ่านตัวกรองในหน้าค้นหาสินค้า
ตามดูการเดินทางของพัสดุกว่าจะถึงผู้รับปลายทาง
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้นของการจัดส่งพัสดุตามคำสั่งซื้องของนักช้อปออนไลน์บนแพลตฟอร์ม LAZADA มาดูการเดินทางของพัสดุ กว่าที่พัสดุ 1 ชิ้นจะส่งถึงผู้รับปลางทาง ต้องผ่านกระบวนการอะไรบ้าง ?!?
ผู้ขาย (Seller) ที่เปิดร้านบน LAZADA ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการ SME และแบรนด์ เมื่อมียอดคำสั่งซื้อจากนักช้อป:
– First Mile Pick up: กระบวนการรับสินค้าจากร้านค้า มี 2 รูปแบบหลักคือ
- LAZADA Logistics ส่งรถไปรับของจากร้านค้าที่มีปริมาณสินค้าจำนวนมาก มาไว้ที่ LAZADA Fulfillment
- ร้านค้าส่งสินค้าเองได้ที่จุด Drop Off โดยสามารถเลือกจุดบริการขนส่งตามที่ร้านค้าอยู่ใกล้และสะดวก ซึ่งมีทั้ง LEX Drop Off และพันธมิตรขนส่ง
– Sortation Center กระบวนการคัดแยกพัสดุ: หลังจากนั้นรถขนส่งพัสดุ จะเข้ามายังศูนย์คัดแยกพัสดุของ LAZADA Logistic ที่กระจายอยู่ทั้ง 3 แห่ง เพื่อทำการคัดแยกพัสดุ มีขั้นตอนหลักๆ ดังนี้
- เริ่มจาก Inbound Process หรือการรับพัสดุเข้า
- ต่อด้วย Sortation Process หรือกระบวนการคัดแยกตามโซนพื้นที่ และตามจังหวัด
- เมื่อคัดแยกพัสดุแล้ว ไปสู่ขั้นตอน Outbound Process มีรถขนส่งรับพัสดุดำเนินการในกระบวนการต่อไป
– Shuttle & Linehaul ส่งพัสดุไปยังศูนย์กระจายสินค้า: หลังจากรับพัสดุที่ศูนย์คัดแยกฯ แล้ว รถขนส่งจะวิ่งไปยังศูนย์กระจายสินค้าทั่วประเทศ ครอบคลุมทั้งภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้
– Last Mile Delivery นำพัสดุส่งถึงผู้รับปลายทาง: เมื่อศูนย์กระจายสินค้ารับพัสดุเข้ามาแล้ว จะดำเนินการคัดแยกพัสดุอีกขั้นหนึ่ง เป็นการคัดแยกขั้นสุดท้ายอย่างละเอียด จากนั้นพนักงานส่งพัสดุจะนำพัสดุไปส่งให้ผู้รับปลายทางทั่วประเทศ ไม่ว่าจะอยู่ถนนเส้นใด หมู่บ้านไหน คอนโดโครงการใด และตรอกซอกซอยต่างๆ
“เราพบว่าลูกค้าที่ได้ใช้บริการส่งเร็วพิเศษมีแนวโน้มที่จะมีความพึงพอใจต่อการซื้อสินค้าชิ้นนั้นๆ เพิ่มขึ้น ส่งผลให้อัตราการยกเลิกคำสั่งซื้อโดยรวมต่ำลง และทำให้ยอดขายของแบรนด์เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
โดยหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ LAZADA สามารถขยายบริการส่งเร็วพิเศษได้อย่างต่อเนื่อง คือ การมีศูนย์คัดแยกสินค้าในบริเวณที่เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ และมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย” คุณเจมส์ มาร์แชนท์ ขยายความเพิ่มเติม
เล็งขยาย “ศูนย์คัดแยกสินค้า” และบริการ “Next Day Delivery ทั่วไทย”
สำหรับแผนงาน LAZADA Logistics ใน 12 เดือนข้างหน้าจากนี้ ยังคงโฟกัส 3 เรื่องสำคัญคือ
1. การบริหารจัดการเวลาและต้นทุนที่เหมาะสม โดยเอาเทคโนโลยีเข้ามาช่วย
2. ความสม่ำเสมอในการจัดส่ง
3. การฝึกอบรมพนักงานจัดส่ง LEX ในด้านมารยาทการให้บริการ เนื่องจากเป็นคนที่เจอลูกค้าโดยตรง การให้บริการที่ดี จะช่วยสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า
รวมทั้งเตรียมขยายบริการ Next Day Delivery ครอบคลุมทั่วประเทศภายใน 3 – 4 ปีจากนี้ แต่ทั้งนี้ต้องพิจารณาปริมาณ หรือ volume คำสั่งซื้อสินค้าเข้ามา และความท้าทายด้านภูมิศาสตร์ของประเทศในการกระจายสินค้า
นอกจากนี้ตามโรดแมปการขยาย ecosystem ระบบโลจิสติกส์ให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น LAZADA Logistics ก็มีแผนขยาย “ศูนย์คัดแยกพัสดุ” ไปยังภูมิภาคต่างๆ ของไทยเช่นกัน โดยหลักเกณฑ์การตั้งศูนย์คัดแยกพัสดุ ต้องพิจารณาทั้งทำเลและความพร้อมของพื้นที่, จำนวนผู้ขาย และผู้ซื้อ, ปริมาณยอดสั่งซื้อสินค้า ตลอดจนการเชื่อมโยงระหว่างศูนย์คัดแยกพัสดุ กับจุดบริการ Drop Off และศูนย์กระจายสินค้า
แน่นอนว่าเมื่อขยาย ecosystem โลจิสติกส์ได้สมบูรณ์และครอบคลุมทั่วประเทศ ย่อมสร้าง Competitive Advantage ให้กับ LAZADA ประเทศไทย โดยเฉพาะประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์ และการบริการรวดเร็ว ที่จะมีผลต่อการสร้างประสบการณ์ความพึงพอใจให้กับทั้งผู้ขาย และนักช้อป
- อ่านเพิ่มเติม: 12 เรื่องน่ารู้ “e-Conomy SEA Report 2022” เศรษฐกิจดิจิทัลเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ – “ตลาดอีคอมเมิร์ซไทย” ใหญ่อันดับ 2 ของภูมิภาค