พอพูดถึง IKEA แน่นอนว่าต้องนึกถึงเฟอร์นิเจอร์ราคาประหยัด แต่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า IKEA มีอีกโมเดลที่ทุ่มเงินลงทุนในหลายประเทศแล้ว ก็คือ IKEA Homes โดยนำร่องเมื่อหลายปีมาแล้วในประเทศสวีเดน, ฟินแลนด์ และนอร์เวย์ โดยบริษัทที่ชื่อว่า BoKlok เป็นบริษัทร่วมลงทุนระหว่าง IKEA กับ Skanska (บริษัทก่อสร้างในสวีเดน)
ทั้งนี้ ประเทศล่าสุดที่โปรเจ็กต์ IKEA ให้ความสนใจก็คือ เมือง Worthing ทางตอนใต้ของประเทศอังกฤษ ซึ่งโปรเจ็กต์บ้านนี้แพลนไว้ตั้งแต่ปี 2019 และคาดการณ์ว่าจะเปิดตัวภายในปี 2021 ประมาณ 160 ยูนิตแรก (ตามรายงานข่าวของ CNN) ซึ่งจะเป็นบ้านสไตล์ Modular (โมดูลาร์) หรือบ้านกึ่งสำเร็จรูป พูดง่ายๆ บ้านโมดูลาร์ คือ บ้านน็อคดาวน์ในเวอร์ชั่นที่อัพเลเวลขึ้น คุณภาพดีขึ้น แข็งแรงกว่า แต่ยังมีราคาประหยัดนั่นเอง
บ้าน IKEA น่าสนใจต่อกลไลทางการตลาดอย่างไร?
หลายคนอาจจะมองว่าไม่แปลกที่ IKEA มีไลน์ธุรกิจที่หันมาลงทุนเรื่องโปรเจ็กต์บ้าน เพราะหลายๆ ธุรกิจเองก็มีไลน์ธุรกิจในอุตสาหกรรมอื่นเช่นกัน แต่ที่หยิบเคสของ IKEA ขึ้นมาเล่าสู่กันฟัง ก็เพราะว่า IKEA เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่จับตลาดผู้บริโภคกลุ่ม รายได้ปานกลาง-สูง และเป็นแบรนด์ที่มีกลยุทธ์การตลาดที่โดดเด่นน่าสนใจ
บทวิเคราะห์ของ CNN Business ได้พูดถึง การสร้างบ้านแบบโมดูลาร์ที่ใช้เวลาประกอบเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว แข็งแรง แต่ยังซื้อได้ในราคาประหยัดที่จะได้รับความนิยมมากขึ้น ถ้าเทียบกับตอนนี้ความนิยมยังอยู่ที่บ้านที่มีโครงก่อสร้างแบบแข็งแรง ไม่ใช่ส่วนประกอบสำเร็จ
เหตุผลหนึ่งก็เพราะว่า ภาวะการขาดแคลนที่อยู่อาศัยเกิดขึ้นทั่วโลก ไม่ใช่แค่ในอังกฤษ หรือประเทศในแถบสแกนดิเนเวีย อีกทั้งยังน่าสนใจเพราะว่าผู้ซื้อสามารถคุมค่าใช้จ่ายได้เองทั้งหมด ซึ่งเทรนด์ในปัจจุบันที่อะไรๆ ก็ต้องมินิมอล น้อยๆ ไว้ก่อน ทำให้ในอนาคตมองว่า บ้านแบบโมดูลาร์จะได้รับความนิยมมากขึ้น
โดย IKEA ใช้วิธีขายยูนิตบ้านแบบกึ่งพร้อมอยู่ โดยให้ผู้ซื้อสามารถออกแบบบ้านที่เหลือเองได้ว่าต้องการเพิ่มอะไรบ้าง คงคล้ายๆ เวลาเราซื้อคอนโดห้องเปล่าที่ต้องมาตกแต่งกันเอง แต่สำหรับ IKEA Homes ผู้ซื้อสามารถปรับโครงสร้างบางอย่างได้ (ภายใต้เงื่อนไข) จะลดหรือเพิ่มสามารถทำได้ทันทีที่พร้อมจะเข้ามาอยู่ ซึ่งทาง IKEA (หรือ BoKlok) จะปรับให้โดยใช้วัสดุสำเร็จรูปประกอบให้ตามดีไซน์ของผู้ซื้อ
ข้อดีคือ ความเร็ว เราคงไม่ต้องรอนานหลายเดือนกว่าจะปรับโครงสร้างและตกแต่งอะไรเสร็จ เพราะทุกอย่างเป็นของสำเร็จรูปที่แข็งแรงพอ และผลิตตามมาตรฐานของ IKEA อยู่แล้ว
นักวิเคราะห์ได้ใช้คำว่า ‘Innovative sales model’ หรือ รูปแบบการขายที่เป็นนวัตกรรมแบบใหม่ ซึ่งก็คือ การเรียกเก็บเงินเท่าที่ผู้ซื้อจ่ายไหว ซึ่งรูปแบบการขายแบบนี้ได้รับความสนใจในกลุ่มคนที่เพิ่งเริ่มต้นทำงาน อยู่ในวัยทำงานขั้นต้น ที่ต้องการที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่งแต่ยังไม่พร้อมจ่ายเป็นเงินก้อนโตๆ และที่สำคัญคนกลุ่มนี้มีความต้องการที่เปลี่ยนแปลงเร็ว ดังนั้น การดีล – ซื้อ – ปรับแต่ง – เข้าอยู่ ทุกกระบวนการต้องเกิดขึ้นเร็ว ง่าย สะดวก
IKEA กับคอนเซ็ปต์ Large volumes, Low prices
เคยมีบทความของ Skanska blog ในปี 2011 ที่พูดถึงโมเดลการสร้างบ้าน IKEA ซึ่งเป็นบ้านโมดูลาร์ low-cost ระบุว่า ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในยุคไหน ผู้บริโภคยังต้องการของที่ดีมีคุณภาพแต่ราคาประหยัดอยู่ดี โดยมองว่า ความต้องการลักษณะนี้จะอยู่เป็นดีมานด์ที่ยั่งยืน
โดยแนวทางของ BoKlok ตามรอยคอนเซ็ปต์ของ IKEA ตั้งแต่ที่ก่อตั้งบริษัท คือ Large volumes, Low prices = เน้นปริมาณแต่ราคาถูก ซึ่งสินค้าทุกชิ้นของ IKEA การันตีอยู่แล้วว่ามีคุณภาพเป็นไปตามมาตรฐานที่ควรจะเป็น ดังนั้น BoKlok ก็แค่ประกอบวัสดุต่างๆ ขึ้นมาเป็นบ้านที่ทุกคนสามารถซื้ออยู่ได้
สิ่งที่น่าสนใจจากโมเดลนี้ก็คือ การต่อยอดในสิ่งที่ทำอยู่ก่อนแล้ว คงคล้ายกับธุรกิจอื่นที่ทำกัน แต่โมเดลใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นจำเป็นต้องมองในเรื่องของความต้องการที่ยั่งยืนด้วย และแน่นอนว่ามนุษย์ทุกคนต้องการแหล่งที่อยู่อาศัย
ที่มา: cnn, worthing herald, dezeen
