เชื่อว่าหลายคนที่เป็นแฟนคลับ “คัลแลน – พี่จอง” แห่งชาแนล Cullen HateBerry คงได้ดู EP. พิเศษฉลองครบ 100 Episode กันไปแล้ว แต่สำหรับคนที่ไม่ได้เป็นแฟนคลับ แต่อาจจะอยากรู้ว่าความสำเร็จหรือเบื้องหลังของวิธีแคร็กไอเดียในการทำคอนเทนต์ของพวกเขาเป็นอย่างไร เราขอสรุปความน่าสนใจไว้เป็นกรณีศึกษาสำหรับคอนเทนต์ครีเอเตอร์ที่อยากประสบความสำเร็จแบบพวกเขาบ้าง
ที่มาของการเปิดช่อง Cullen HateBerry
ที่มาของการเปิดชาแนล Cullen HateBerry บน Youture เป็นการเปิดเผยผ่านผู้อยู่เบื้องหลังคนสำคัญ ผ่าน “Kirby” โปรดิวเซอร์หนุ่มเพื่อนคู่หูทำเพลงร่วมกับ Cullen ได้ปิ๊งไอเดียนี้ขึ้นมา จากการที่เห็นชาวต่างชาติพาไปเที่ยวย่านยังพย็อง ที่เกาหลีใต้ ซึ่งเขาพบว่า เป็นสถานที่ๆ แม้แต่คนเกาหลีก็ไม่ค่อยจะไป ซึ่งถ่ายทอดออกมาในมุมของต่างชาติมาเที่ยว โดยมองว่า ตอนนี้ที่ตัวเองอยู่เมืองไทยก็น่าจะทำได้ และคนไทยก็อาจจะรู้สึกเหมือนกันว่า หลายๆ สถานที่ที่แม้ว่าเราจะเป็นเจ้าของประเทศเองก็ยังไม่เคยรู้ไม่เคยไปมาก่อนเลย
เมื่อปิ๊งไอเดียว่า อยากจะลองทำคอนเทนต์การไปเที่ยวผ่านมุมมองต่างชาติที่อยู่เมืองไทย มาบวกรวมเข้ากับบุคคลิกสไตล์ของ Cullen ก็ทำให้เกิดคลิปใจฟูอย่างที่พวกเรารับชมกันทุกวันนี้
นอกจากนี้ Kirby ยังได้เล่าถึงวิธีการทำงานของพวกเขาในแง่มุมต่างๆ มากมาย ซึ่งเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์และเป็นข้อคิดที่ดีให้กับ Creators หลายคนในการทำช่องและพัฒนาช่องให้ประสบความสำเร็จ มีประมาณ 11 ข้อต่อไปนี้
กางกลยุทธ์การคอนเทนต์ช่อง Cullen Hateberry
- ไม่ได้อยากเป็นช่อง YouTube เพื่อการท่องเที่ยว เพราะไม่ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเลย เพราะคิดว่าผู้ชม (ส่วนมากเป็นคนไทย) น่าจะมีข้อมูลที่ดีและรู้เยอะกว่าคนทำเสียอีก
- Positioning ที่วางไว้ จะเป็นคล้ายๆ การทำ Vlog ถ่ายคลิปท่องเที่ยวมากกว่า ที่
- Key Idea ที่สำคัญในการถ่ายทอดคอนเทนต์คือ “ความสุข” และ “คิดบวก” Happy and Positive Thinking
- เน้นการสร้างคอนเทนต์คุณภาพ Healthy Content แม้ว่าจะใช้เวลาในการทำนานก็ตาม
- การเตรียมตัวและการเตรียมความพร้อมที่ดี และสำคัญที่สุดของคนทำคอนเทนต์ (ทีมท่องเที่ยว) คือจะต้องเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ ความสุข และ ความสนุก ดังนั้น จึงไม่มีการเร่งรัดในการทำคอนเทนต์ เพราะจะทำให้การถ่ายทอดงานออกมาไม่สนุกได้
- กลุ่มเป้าหมาย (Target audience) : ผู้ชมที่สามารถดูได้ทุกเพศ ทุกวัย
- ส่วนระยะเวลาของคลิป ไม่ได้มีการกำหนดตายตัว อาจจะ 40 นาที ถึง 1 ชั่วโมงก็ได้
- ขณะที่กำหนดระยะเวลาในการปล่อยคอนเทนต์ก็คล้ายกัน ไม่ได้กำหนดแน่นอน แต่อย่างน้อยคือ 5-7 วัน แต่ช้าสุดไม่เกิน 8 วัน ถ้าล่าช้ากว่านั้นจะแจ้งทางชาแนลให้ทราบถึงสาเหตุความล่าช้า
- มุมมองของการใช้อุปกรณ์ไฮเทคในการถ่ายทำ : เขามองว่าเป็นสไตล์ที่คิดวางไว้แต่ต้นว่าไม่ได้ต้องการเน้นการใช้อุปกรณ์ไฮเทค แต่เน้นไปที่ฟีลลิ่งว่า เหมือนกับผู้ชมได้ไปเที่ยวด้วยกันจริงๆ ดังนั้น จึงมองว่าอุปกรณ์ไฮเทค อย่างไมโครโฟน หรือโดรน อาจจะไม่จำเป็นสำหรับสไตล์ของช่อง เพื่อให้ความรู้เหมือนว่าคนดูได้อยู่ในสถานที่นั้นร่วมกันจริงๆ ฉะนั้น ถ้าคนทำคอนเทนต์วิ่งภาพก็จะสั่น หรือถ้าไปอยู่ในพื้นที่เสียงดัง ก็อาจจะไม่ค่อยได้ยินเสียงคนพูดนั่นเอง พูดง่ายๆ ว่า เน้นความเป็นธรรมชาติ เรียลๆ ไปเลย
- มุมของการโปรโมทสินค้า (Brand Sponsorship) : สาเหตุที่หลีกเลี่ยงไม่ค่อยรับงานโฆษณานำเสนอบนคอนเทนต์ เพราะว่าไม่อยากรบกวนการรับชมของคนดู ประกอบกับคอนเทนต์ที่ทำค่อนข้างใช้เวลานาน ทั้งการถ่ายทำและการตัดต่อด้วย รวมถึงอยากจะไปและอยากจะกินในสถานที่ที่อยากไปมากกว่า ดังนั้น ในลักษณะของการมี Sponsors เข้ามาสนับสนุนอาจจะไม่เหมาะกับรูปแบบคอนเทนต์ที่ทำอยู่ ทำให้ตัดสินใจไม่ค่อยรับงาน tie-in สินค้าเข้ามามากนัก
- วิธีจัดการกับดราม่า คือไม่จำเป็นต้องตอบโต้ในทุกประเด็น ไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ สิ่งสำคัญคือ โฟกัสกับงานและตั้งใจทำงานแบบเงียบๆ ก็พอ
ทั้งหมดนี้จะเห็นว่า การทำคอนเทนต์ของพวกเขา ไม่ได้ทำไปเรื่อยๆ หรือชิลล์ๆ อย่างเช่นที่เราเห็นกันในคลิป แต่อันที่จริงมีหลักคิด และวาง Positioning เอาไว้อย่างชัดเจน ซึ่งทำให้คลิปแต่ละชิ้นออกมาส่งอารมณ์และสื่อสารในแบบเดียวกันที่ผู้ชมสามารถรับรู้ได้และสัมผัสได้ ในมุมมองเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น ความเรียล อารมณ์ของความสุขและสนุกของทีมท่องเที่ยว ที่จะต้องไม่อยู่บนความกดดัน ทำให้การถ่ายทอดออกมาผู้ชมก็รู้สึกมีความสุขและสนุกตามไปด้วย
นอกจากนี้ ต้องชื่นชมการพิจารณาร่วมงานกับแบรนด์ของทีมด้วย ที่เลือกจะให้ “ผู้ชม” เป็นใหญ่ ไม่ต้องการรบกวนคนดู ด้วยการเลือกร่วมงานกับแบรนด์ไม่มากและต้องเป็นสิ่งที่ใช้จริงและเข้ากับคอนเทนต์ของพวกเขาจริงๆ ซึ่งคิดว่าสิ่งนี้สำคัญมากสำรรับคนทำคอนเทนต์และแบรนด์ที่จะเลือกในการร่วมงานกับ Creator ในปัจจุบัน
เชื่อว่าทั้งหมดนี้นี้น่าจะแง่มุมที่ดี ให้กับทั้ง นักการตลาด แบรนด์ หรือ Creator โดยเฉพาะบนโลกออนไลน์ ที่เต็มไปด้วยคอนเทนต์และโฆษณามากมาย แน่นอนว่าเราปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ แต่จะทำอย่างไรที่เราจะไปด้วยกันได้แบบ #ใจฟู.
เก่งจริงนะพ่อคนจิ้งจก
Source: @cullen_hateberry