เมื่อโทรศัพท์มือถือ และอุปกรณ์ไอทีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแท็บเล็ต, คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ติดตัวไปไหนมาไหนของผู้คนยุคดิจิทัลไปแล้ว ดังนั้นการป้องกันให้ใช้ได้นาน และตกแต่งอุปกรณ์เหล่านี้ตามสไตล์ของเจ้าของ ด้วยเคสกันกระแทก และเพื่อความสวยงาม จึงเป็นอีกสิ่งที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญ
นี่จึงทำให้เคสโทรศัพท์ – แท็บเล็ต – คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค รวมถึง accessory ต่างๆ สำหรับตกแต่งอุกรณ์ไอที เป็นกลุ่มสินค้าที่ขายได้ตลอด ยิ่งแบรนด์เคส และของตกแต่งอุปกรณ์ไอทีไหนมีดีไซน์ใหม่ออกมาต่อเนื่อง ก็ยิ่งกระตุ้นให้คนซื้อมากขึ้น และเปลี่ยนบ่อยขึ้น
หนึ่งในแบรนด์ไลฟ์สไตล์และเครื่องประดับตกแต่งอุปกรณ์ไอทีที่ได้รับความนิยม โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้สินค้าของ Apple และ Samsung คือ “CASETiFY” (เคสทิฟาย) ที่มีจุดกำเนิดในฮ่องกง ด้วยโมเดลจำหน่ายผ่านออนไลน์ และมีจุดเด่นให้ลูกค้าสามารถ personalize ดีไซน์ตัวเคส ตั้งแต่สี ลวดลาย การใส่ข้อความต่างๆ ก่อนที่ในปัจจุบันมีทั้งบริการออนไลน์ และร้านค้าปลีกแบบออฟไลน์ “CASETiFY Studio” 18 แห่งทั่วโลก ทำรายได้กว่า 125 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2020 และตั้งเป้าในปี 2025 จะมีรายได้ทะลุ 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ตามดูเส้นทาง “CASETiFY” (เคสทิฟาย) พร้อมถอดกลยุทธ์ความสำเร็จว่าทำอย่างไรถึงเป็นแบรนด์เคสมือถือครองใจคนรุ่นใหม่ Gen Z
จากอีคอมเมิร์ซขายเคสโทรศัพท์ สู่แบรนด์ระดับโลก รายได้ 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2025
CASETiFY ถือกำเนิดในฮ่องกงก่อตั้งขึ้นในปี 2011 และมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องผ่านธุรกิจอีคอมเมิร์ซ โดยในปี 2020 สามารถสร้างรายได้รวมกว่า 125 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และในช่วง 5 ปีที่ผ่ายมามีอัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้น (CAGR) สูงถึง +70% นับเป็นการก้าวกระโดดอย่างงดงามของธุรกิจอีคอมเมิร์ซสู่ธุรกิจแบรนด์ระดับโลก ด้วยกลยุทธ์การสร้างความแตกต่างที่ตอบโจทย์ตรงใจผู้บริโภค โดยพลิกโฉมจากเคสโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์ไอทีต่าง ๆ ให้กลายเป็นเครื่องประดับแฟชั่นที่ได้รับความนิยมในตลาดทั่วโลกอย่างสูง
เวสลีย์ อิ้ง (Wesley Ng) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง CASETiFY กล่าวว่า “ผลิตภัณฑ์ของ CASETiFY เปรียบเสมือนผืนผ้าใบสำหรับการสร้างสรรค์ไม่มีที่สิ้นสุด ผ่านการร่วมมือกับแบรนด์ที่โดดเด่น และความหลงใหลในคิดค้นนวัตกรรมป้องกันที่แข็งแรงทนทาน เพื่อให้ลูกค้าได้มีตัวเลือกตกแต่งอุปกรณ์ไอทีที่พวกเขาหวงแหนได้อย่างเต็มที่ และเชื่อมต่อกับความชอบของพวกเขาอย่างแท้จริง
งานของเราคือการสร้างศูนย์รวมความคิดสร้างสรรค์ที่มีตัวเลือกเพียงพอจะตอบทุกสไตล์ ทุกเทรนด์แฟชั่น และทุกบุคลิก ตั้งแต่แบบเรียบง่ายไปจนถึงงานดีไซน์ที่จัดจ้าน”
CASETiFY ได้รับความนิยมสูงสุดในกลุ่มผู้บริโภคในช่วง Gen Z ซึ่งสามารถเข้าถึง 1 ใน 5 ของผู้บริโภค Gen Z ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย โดยเป็นแบรนด์ตกแต่งอุปกรณ์ไอทีที่มีการค้นหาอันดับ 1 ของโลก ระบุโดย Google Trends
จากการเติบโตดังกล่าว CASETiFY ได้คาดการณ์ว่าจะสามารถรักษาการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และสามารถสร้างรายได้ถึง 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี 2025 ด้วยส่วนแบ่งการตลาด 15% ของตลาดอุปกรณ์เสริมเทคโนโลยีทั่วโลก
นอกจากนี้ความสำเร็จของแบรนด์ ยังรวมถึงการได้รับการเสนอชื่อเข้ารับรางวัล “2022 World Changing Ideas Award” โดย FastCompany สื่อชื่อดังของอเมริกา ซึ่งตอกย้ำความมุ่งมั่นด้านความยั่งยืนของ CASETiFY ผ่านแคมเปญ “Re/CASETiFY” โดยนำเคสที่ไม่ใช้แล้วมารีไซเคิลเป็นรุ่นใหม่แล้วกว่า 28,000 กิโลกรัม ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของบริษัทได้มากถึง 20% นอกจากนั้น ยังได้ร่วมมือกับองค์กรด้านสิ่งแวดล้อม earthday.org ปลูกต้นไม้กว่า 165,000 ต้นอีกด้วย
ปัจจุบัน CASETiFY มีสำนักงานใหญ่ในฮ่องกง และพนักงานกว่า 1,000 คน ในหลากหลายมากกว่า 20 สัญชาติ ภายในสำนักงานในแอลเอ เซี่ยงไฮ้ โตเกียว และเกาหลี
3 กลยุทธ์ความสำเร็จ CASETiFY ครองใจ Gen Z ทั่วโลก
กลยุทธ์ที่ทำให้ CASETiFY ก้าวสู่การเป็นแบรนด์ไลฟ์สไตล์และและเครื่องประดับตกแต่งอุปกรณ์ไอทีระดับโลก ที่ได้รับความนิยมในคนรุ่นใหม่ Gen Z ประกอบด้วย
1. สร้างประสบการณ์ Personalization
จุดเด่นสำคัญของ CASETiFY คือ การให้ลูกค้าสามารถ customize เคสได้เองตามสไตล์ที่ตัวเองชอบ เช่น
– ลายพิมพ์ที่มีหลายหมวด-หลายคอลเลคชั่นให้เลือก
– สีเคส
– ประเภทเคส เช่น เคสกันกระแทก เคสหนัง เคสใส,
– วัสดุเคส เช่น วัสดุพลาสติกรีไซเคิล, วัสดุหนัง
– ใส่ข้อความลงบนเคส
การให้ผู้บริโภคได้ดีไซน์เคสโทรศัพท์มือถือ หรือเครื่องประดับอุปกรณ์ไอทีได้เอง เพื่อสร้าง “Personalized Experience” ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในทุกวันนี้ โดยเฉพาะผู้บริโภค Gen Z ที่ต้องการได้สินค้า-บริการที่ออกแบบเฉพาะตัวเอง มีหนึ่งเดียวในโลก เพื่อสะท้อนตัวตน
ด้วยกลยุทธ์ดังกลาว ทำให้แบรนด์ CASETiFY มีฐานลูกค้ากลุ่มใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่ที่มองหา brand for me หรือแบรนด์ที่พัฒนามาเพื่อตัวฉัน และทำให้เกิด engagement ระหว่างแบรนด์ กับผู้บริโภครู้สึกมีส่วนร่วมในการออกแบบสินค้าสำหรับตัวเองโดยเฉพาะ
2. Collaboration สร้างสรรค์คอลเลคชั่นใหม่
อีกหนึ่งกลยุทธ์ความสำเร็จของ CASETiFY คือ การทำ Collaboration กับคาแรคเตอร์ ศิลปิน แบรนด์ดังทั่วโลก ร่วมกันทำคอลเลคชั่นพิเศษ ภายใต้กลุ่มสินค้า “Co-Lab” เช่น คอลเลคชั่น Backpink, One Piece, Sailormoon, Dragon Ball Z, Toy Story, Carnival เพื่อแฟนๆ ของคาแรคเตอร์ ศิลปิน หรือแบรนด์นั้นๆ และ CASETiFY
การสร้างความร่วมมือ นอกจากเพื่อขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มแฟนคลับของคาแรคเตอร์ ศิลปิน หรือแบรนด์นั้นๆ ให้มาเป็นลูกค้าของแบรนด์ CASETiFY แล้ว ยังทำให้ได้คอลเลคชั่นใหม่ เพิ่มความหลายหลายด้านดีไซน์ให้กับผลิตภัณฑ์อีกด้วย
3. จากอีคอมเมิร์ซ สู่โมเดล Omnichannel
ในช่วงแรกของการดำเนินธุรกิจ CASETiFY เริ่มจากการเป็นแบรนด์ D-to-C (Direct to consumer) ผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซมายาวนาน ต่อมาจึงได้ขยายมาเปิดร้านค้าปลีกแบบออฟไลน์ ในชื่อ “CASETiFY Studio” พบว่าการเติบโตส่วนใหญ่มาจากช่องทางร้านออฟไลน์ เห็นได้จากความสำเร็จด้านยอดขายในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาของร้านค้าปลีก 18 แห่งทั่วเอเชียแปซิฟิก ซึ่งกาเปิดหน้าร้านจริงมีผลต่อการเพิ่มการรับรู้ในตลาดนั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอผลิตภัณฑ์ ด้วยเทคโนโลยี และหลากหลาย รวมถึงการตกแต่งที่มีสีสันเป็นไฮไลท์
CASETiFY มียอดขายเฉลี่ยต่อตารางฟุตใน CASETiFY Studio 18 แห่งทั่วเอเชียแปซิฟิก ในปี 2021 อยู่ที่ 1,441 ดอลลาร์สหรัฐ เทียบเท่ายอดขายทั่วโลกของร้านค้าออนไลน์ระดับโลกอย่าง Lululemon (1,560 ดอลลาร์สหรัฐ)
โดยยอดขายสูงสุดอยู่ที่ CASETiFY Studio Hong Kong ซึ่งมีมูลค่า 2,500 เหรียญสหรัฐต่อตารางฟุต ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยทั่วโลกของ Tiffany & Co. (2,951 เหรียญสหรัฐ)
การเปิดร้าน และขยายสาขา ทำให้ปัจจุบันโมเดลธุรกิจของ CASETiFY ได้พัฒนาเป็น “Omnichannel” เชื่อมต่อออนไลน์ กับออฟไลน์เข้าด้วยกัน โดยลูกค้าสามารถ customize และสั่งซื้อสินค้าจากช่องทางออนไลน์ และเลือกสถานที่รับได้ว่าจะให้จัดส่งไปยังที่อยู่ หรือมารับเองด้วยตนเองที่หน้าร้าน หรือหากประเทศนั้นๆ มีสาขาร้าน CASETiFY Studio ก็เข้ามา customize และซื้อสินค้าอื่นๆ จากที่ร้านได้เลย โดยสินค้าที่ customize เช่น เคสมือถือ เคสแท็บเล็ต จะใช้เวลาผลิต พร้อมจัดส่งถึงมือลูกค้าภายใน 10 วัน
จากความสำเร็จของการเปิดร้าน “CASETiFY” มีเป้าหมายที่จะเปิดร้าน 100 แห่งภายในปี 2025 โดยในจำนวนนี้ 20 ร้านจะตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดที่ทำรายได้สูงสุดจากทั่วโลก ซึ่งเปิดสาขาแรกที่เปิดให้บริการ ตั้งอยู่ในเมืองซานตาคลารา รัฐแคลิฟอร์เนีย (เปิดเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2022) และมีแผนเปิดสาขาอื่น ๆ ทั่วทั้งชายฝั่งตะวันออกและตะวันตกอีกด้วย
นอกเหนือจากสหรัฐอเมริกา CASETiFY กำลังเดินตามแผนการเปิดตัวร้านค้าในเมืองอื่น ๆ อีก 5 เมืองทั่วโลกในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ได้แก่ ซิดนีย์ เซี่ยงไฮ้ ไทเป โซล และโตเกียว
ตั้งเป้าลุยตลาดไทยเต็มตัว! หลัง Pop-up Store แห่งแรก เตรียมเปิด CASETiFY Studio ปี 2023
หลังจากเปิดตัว Pop-up Store แห่งแรกในกรุงเทพฯ ไปไม่นาน ใน “เซ็นทรัลเวิลด์” (โซน Atrium ชั้น 1) ครอบคลุมพื้นที่กว่า 80 ตารางเมตร ออกแบบภายใต้คอนเซปต์ “360° Creative Hub” พร้อมมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่แตกต่างและครบวงจร ทั้งการตกแต่งอันทันสมัย การใช้แสงและสีสันของสโตร์ที่สดใสสะดุดตา เชื่อมโยงลูกค้าเข้ากับเอกลักษณ์ของแบรนด์ โดยมีสินค้าหลากหลายคอลเลกชันหมุนเวียนมาให้เลือกช้อปตลอด 6 เดือน สร้างปรากฏการณ์ต่อคิวแน่นกลางใจเมือง ทำให้ CASETiFY ยอดขายเติบโตอย่างรวดเร็วออนไลน์ ส่งผลต่ออัตราการเติบโตถึงสองหลักเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และได้ฐานลูกค้าใหม่ในเมืองไทยเพิ่มขึ้นอีกเกือบเท่าตัว
จากความสำเร็จในก้าวแรก CASETiFY มั่นใจในศักยภาพของประเทศไทยที่แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น โดยตั้งเป้าลุยตลาดไทยอย่างเต็มตัว โดยมีแผนที่จะเปิด CASETiFY Studio ถาวรภายในปี 2023
นอกจากนั้น ทางแบรนด์วางแผนสร้างสรรค์กิจกรรมที่จะเชื่อมต่อกับลูกค้าชาวไทยได้อย่างใกล้ชิดมากขึ้น รวมถึงการคอลแลบกับแบรนด์ชั้นนำในประเทศ และศิลปิน นักออกแบบชาวไทยอย่างต่อเนื่อง
“เรารู้สึกตื่นเต้นอย่างมากกับการเปิดตัว CASETiFY Pop-Up Store แห่งแรกในประเทศไทย ซึ่งเราจะได้พบกับกลุ่มลูกค้าชาวไทยที่ให้การสนับสนุนผ่านสั่งสินค้าผ่านทางออนไลน์ตลอดมา หลังจากนี้ เรายังจะมอบความพิเศษให้กับลูกค้าชาวไทยอย่างแน่นอน และยังเปิดกว้างสำหรับนักออกแบบและครีเอทีฟชาวไทยให้ได้นำความเป็นไทยมาสู่แบรนด์ CASETiFY ในอนาคตอีกด้วย” คุณเวสลีย์ กล่าวทิ้งท้าย