ปี 2024 เป็นอีกหนึ่งปีที่มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย หลายๆ เหตุการณ์กระทบต่อภาพรวมอุตสาหกรรม และหลายๆ เหตุการณ์ก็สะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้น บางเรื่องอาจนำไปสู่เทรนด์ที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต บางเรื่องอาจนำไปสู่การแก้ไขและปรับปรุงเพื่อให้ดีมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่ง Marketing Oops! ได้รวบรวมเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ทั้งปีที่จะจะกลายเป็นปรากฏการณ์สำคัญในความทรงจำของปี 2024
ปรากฏการณ์การเมืองสุดร้อนแรงกระทบธุรกิจไทย
หนึ่งในปรากฏการณ์ที่สำคัญและถือเป็นเรื่องใหญ่มาก ต้องยกให้กับกระแส “การเมือง” ร้อนแรงมากๆ ไม่ว่าจะเป็นการเมืองในประเทศไทยหรือจะเป็นการเมืองต่างประเทศ สำหรับในประเทศไทยนั้นแน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องการก้าวขึ้นสู่อำนาจของ แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ในฐานะนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ของประเทศไทยในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา พร้อมกับการกลับสู่ประเทศไทยและมีบทบาททางการเมืองอีกครั้งของอดีตนายกทักษิณ
กระแสการเมืองในประเทศสร้างแรงกระเพื่อมให้กับภาคธุรกิจด้วยนโยบายทางเศรษฐกิจหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นนโยบาย Digital Wallet 10,000 บาทที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น นโยบายซอฟท์พาวเวอร์ กระตุ้นการท่องเที่ยว บวกกับแรงขับเคลื่อนจากการส่งออกของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิก ซึ่งแม้ว่าจะมีความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนและดราม่าทางการเมืองหลังจากนี้แต่เศรษฐกิจไทยถูกคาดหมายว่าอาจโตสวนกระแสโลกถึง 2.8% ในปีนี้
ไม่เฉพาะในไทยเท่านั้นแต่ในการเมืองระดับโลกที่ “โดนัลด์ ทรัมป์” ชนะเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้ง เป็นอีกหนึ่งความร้อนแรงในปี 2024 การกลับสู่อำนาจของทรัมป์ย่อมส่งผลกระทบมาถึงภาคธุรกิจไทยอย่างแน่นอน โดยเฉพาะการกลับมาของนโยบาย “America First” ที่อาจทำให้ประเทศไทยเจอกับการตั้งกำแพงภาษีกับสินค้าส่งออกของไทย ดังนั้นภาคธุรกิจจึงต้องติดตามสถานการณ์การเมืองทั้งในและต่างประเทศอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินความเสี่ยง ปรับตัว และวางแผนธุรกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์อยู่เสมอ
ปรากฏการณ์สินค้าจีนทะลักสู่ไทยกระทบธุรกิจ SME
หลังจากโลกกลับเข้าสู่ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการใช้กฎหมายภาษีนำเข้า ส่งผลให้สินค้าจีนจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามาสู่ประเทศไทย การเข้ามาของสินค้าจีนส่งผลต่อโครงสร้างราคาสินค้าของผู้ประกอบการในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงกลางปี 2024 ที่ผ่านมา เมื่อแพลตฟอร์มออนไลน์ยักษ์ใหญ่จากจีนอย่าง “TEMU” เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยอย่างจริงจัง
โดยช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 ไทยมีการนำเข้าสินค้าจีนเพิ่มขึ้น 7.12% หรือคิดเป็นมูลค่า 37,569.89 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว 1.33 ล้านล้านบาท ทำให้ไทยและจีนมีมูลค่าการค้าร่วมกันรวมกว่า 104,964 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยมูลค่าการส่งออกจากไทยไปยังจีนอยู่ที่ราว 34,164 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แต่มีการนำเข้าสินค้าที่มาจากจีนอยู่ที่ราว 70,800 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ส่วนหนึ่งที่ทำให้ตลาดประเทศไทยเย้ายวนผู้ประกอบการธุรกิจสินค้าจีน นั่นเพราะไทยมีการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตอยู่ในลำดับต้นๆ ของโลก โดยมีประชากรที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ตสูงถึงประมาณ 88% และส่วนใหญ่การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของคนไทย มักจะเกิดขึ้นบนสมาร์ทโฟน ขณะที่ตลาด e-Commerce เติบโต ซึ่งเป็นผลมาจาก ecosystem เต็มรูปแบบ ทั้งระบบ Payment และ Logistics
ปรากฏการณ์ยานยนต์ยอดขายร่วงทุกเซ็กเม้นต์
อีกหนึ่งปรากฏการณ์ที่ไม่พูดถึงก็ไม่ได้ อย่างอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ถือเป็นหนึ่งในดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจของไทย โดยเฉพาะปีนี้ตลาดรถปิคอัพหดตัวอย่างรุนแรง ซึ่งชี้ให้เห็นถึงรายได้ของเกษตรกรที่ลดลง โดยก่อนหน้านี้คาดการณ์กันว่า ตลาดรถยนต์จะกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งในปี 2024 โดยเฉพาะการเติบโตของตลาด EV ที่คาดว่าจะมีสัดส่วนขึ้นมาเทียบเท่ากับตลาดรถยนต์ใช้น้ำมันรวมถึงไฮบริด
แต่เพราะปัจจัยเรื่องเศรษฐกิจจากหนี้ครัวเรือน ส่งผลให้การขอสินเชื่อรถยนต์ทำได้ยากมากขึ้น ทำให้ช่วงไตรมาส 4 สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ ส.อ.ท. ทำการปรับลดเป้าการผลิตรถยนต์ปี 2567 ลงจากเดิมที่ตั้งเป้าหารผลิตไว้ที่ 1.7 ล้านคันต่อปี เหลือเพียง 1.5 ล้านคันต่อปี ซึ่งเป็นการปรับการขายในประเทศลงจาก 5.56 แสนคันต่อปี เป็น 4.5 แสนคันต่อปี และการส่งออกลดลงจาก 1.15 ล้านคันต่อปี เป็น 1.05 ล้านคันต่อปี
เฉพาะตลาดรถปิคอัพเป็นตลาดที่มีการหดตัวลงสูงสุด โดยหดตัวลดลงถึง 50% แม้แต่ EV ของจีนเองก็ใช่ว่าจะรอด แม้จะมีนโยบายภาครัฐสนับสนุนการใช้ EV แต่เพราะสงครามราคาของค่ายรถ EV จีน ทำให้ผู้สนใจซื้อ EV ชะลอการตัดสินใจซื้อ เนื่องจากยังไม่ไม่ใจในราคาที่แข่งกันปรับลดลง ตรงกันข้ามรถยนต์กลุ่มไฮบริดและ PHEV กลับมีแนวโน้มที่เติบโตสูงเพิ่มมากขึ้น ส่วนหนึ่งผู้ใช้รถเริ่มเข้าใจและเห็นข้อด้อยของ EV ขณะที่กลุ่มไฮบริดและ PHEV สามารถเข้ามาแก้ไขจุดด้อยของ EV ได้
ปรากฏการณ์ธุรกิจแห่ปิดตัว-ปลดพนักงานรับเศรษฐกิจ
แม้ว่าการท่องเที่ยวของไทยเริ่มกลับมาสู่ภาวะปกติ แต่ก็ยังไม่สามารถช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจของไทยได้ในภาพรวม โดยช่วงไตรมาสแรกของปี 2567 เศรษฐกิจฟื้นตัวช้ามีอัตราเติบโตเพียง 1.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน และยิ่งชัดเจนมากขึ้น เมื่อหลายธุรกิจเริ่มทยอยปิดตัวลง ขณะที่อีกหลายธุรกิจเริ่มลดต้นทุนด้วยการปรับลดพนักงานลง
เริ่มกันที่ช่วงกลางปี เมื่อ เท็กซัส ชิคเก้น (Texas Chicken) ร้านอาหารในเครือโออาร์ (OR) ประกาศปิดกิจการทุกสาขาในไทยมีผลตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน 2567 หลังให้บริการมากว่า 9 ปี แม้แต่ “ช่อง 3” ประกาศปลดพนักงานจากนโยบายปรับโครงสร้างองค์กร โดยมีผลช่วงสิ้นปี 2567 หรือ บริษัท ตันจง อินเตอร์เนชั่นแนล ที่ดูแลแบรนด์รถยนต์ Subaru ในประเทศไทย ประกาศยกเลิกธุรกิจการผลิตรถยนต์ในไทยสิ้นปีนี้ แต่ยังคงทำธุรกิจในไทยในรูปแบบการนำเข้ารถยนต์
ด้าน ซูซูกิ มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ก็ประกาศยุติผลิตรถยนต์ในประเทศไทยเช่นเดียวกัน ซึ่งได้รับผลกระทบเนื่องจากการเข้ามาของ EV นอกจากนี้ บริษัท ยานภัณฑ์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ประกาศเลิกจ้างพนักงานทั้งหมดรวมไปถึงการปิดตำนาน “แพนด้า สุกี้” ร้านสุกี้โบราณที่เปิดมาเคียงคู่กับห้างพาต้า จริงๆ แล้วยังมีอีกหลายธุรกิจที่ปิดตัวลง รวมไปถึงการปรับลดพนักงาน จากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า มีธุรกิจขอจดทะเบียนเลิกกิจการทั่วประเทศตั้งแต่เดือนมกราคม-เดือนพฤจิกายนแล้วกว่า 17,614 ราย
ปรากฏการณ์โครงการลงทุน 2 Mega Project ใจกลางกรุง
ในเรื่องร้ายๆ ของปี 2024 ก็ยังมีเรื่องดี อย่างการเปิดตัว Mega Project ในรูปแบบมิกซ์ยูสใจกลางกรุงเทพฯ ทั้งโครงการ “One Bangkok” ในย่านพระราม 4 พัฒนาโดย บริษัท ทีซีซี แอสเซ็ทส์ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด และ โครงการ “Dusit Central Park” แยกถนนสีลม-พระราม 4 โดยเป็นโครงการร่วมทุนระหว่าง บมจ. ดุสิตธานี และบมจ. เซ็นทรัล พัฒนา ตอกย้ำถึงการเป็นหนึ่งในมหานครของโลกที่จะดึงดูดทั้งนักท่องเที่ยว การลงทุนจากบริษัทต่างประเทศ และผู้คนจากทั่วโลก
สำหรับโครงการ One Bangkok ตั้งอยู่บนถนนวิทยุและถนนพระราม 4 โดยพัฒนาภายใต้แนวคิด “The Heart of Bangkok” บนที่ดินขนาด 108 ไร่ พื้นที่ใช้สอย 1.93 ล้านตารางเมตร มูลค่าการลงทุนกว่า 1.2 แสนล้านบาท โดยปีนี้เริ่มทยอยสร้างเสร็จและเปิดให้บริการบางส่วนแล้ว ทั้งอาคารสำนักงาน, ศูนย์การค้าและเตรียมเปิดโซน POST 1928 ในเฟสถัดไป นอกจากนี้ยังทยอยเปิดโรงแรม ที่พักอาศัย และอาคารที่เมื่อสร้างเสร็จจะเป็นตึกสูงที่สุดในไทยอย่าง Signature Tower โดยคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จทั้งหมดในปี 2026
ขณะที่โครงการ Dusit Central Park พัฒนาโดย บริษัท วิมานสุริยา จำกัด เป็นโครงการ Mixed Use สร้างขึ้นภายใต้วิสัยทัศน์ “Here for Bangkok” งบลงทุนรวมกว่า 46,000 ล้านบาท พื้นที่รวม 440,000 ตร.ม. บนที่ดิน 23 ไร่ มุมถนนสีลม-พระราม 4 โดยปีนี้เริ่มเปิดส่วนของโรงแรม Dusit Thani Bangkok จากนั้นปี 2025 จะเปิดอาคารสำนักงาน Central Park Offices และ Central Park ในปี 2569 คาดว่าจะสร้าง The Residences at Dusit Central Park
ปรากฏการณ์ Olympic Paris 2024 สุดหรูกระตุ้นตลาดไทย
หนึ่งปรากฎการณ์สำคัญระดับโลกอย่าง มหกรรมกีฬาโอลิมปิก ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ที่สร้างความประทับใจให้กับผู้คนทั่วโลก ด้วยการผสมผสานเสน่ห์ของเมืองหลวงแห่งแฟชั่นเข้ากับสปิริตของกีฬาแต่ละชาติ ทำให้ Paris 2024 กลายเป็นมหกรรมที่เต็มไปด้วยสีสัน ความตื่นเต้น ไม่ว่าจะเป็นพิธีเปิดสุดอลังการริมแม่น้ำแซน การแข่งขันสุดเข้มข้น สถิติโลกที่ถูกทำลาย โมเมนต์ไวรัลของเหล่านักกีฬา รวมถึงบรรยากาศแห่งมิตรภาพ และความสามัคคีของมวลมนุษยชาติ
ความยิ่งใหญ่ของ Paris 2024 ขาดไม่ได้กับบทบาทของแบรนด์ดังระดับโลกมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบรนด์ฝรั่งเศสในเครือ LVMH ที่เข้ามาเป็นผู้สนับสนุนหลัก ไม่ว่าจะเป็น Louis Vuitton, Dior, Givenchy ฯลฯ ที่มาช่วยการผลิตผลงานสุดเนี้ยบ ตั้งแต่ชุดนักกีฬา คบเพลิง เหรียญรางวัล ไปจนถึงองค์ประกอบต่างๆ ที่สะท้อนถึงความหรูหรา สง่างาม และนวัตกรรมเจ๋งๆ
นอกจากนี้ Paris 2024 ยังเป็นอีกหนึ่งอีเวนต์สำคัญที่ช่วยกระตุ้นวงการการตลาดในประเทศไทย ผ่านกลยุทธ์ Sport Marketing ที่หลากหลายผ่านผู้ได้รับสิทธิ์ในการบริหารลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดในประเทศไทย เราได้เห็นแคมเปญ และกิจกรรมต่างๆ เพื่อสร้าง Engagement และเข้าถึงผู้ชมมากมายไม่ว่าจะเป็นสื่อ Out of Home (OOH) การสื่อสารผ่านคอนเทนต์ออนไลน์ การจัดกิจกรรม Olympic Park และกิจกรรมรูปแบบต่างๆ ที่ทำให้ได้เห็นมุมมองใหม่ๆ ของนักกีฬาไทยอีกด้วย
ปรากฏการณ์พี่จอง-คัลเลน จาก YouTuber สู่ Mega Influencer
พูดถึงธุรกิจมาก็มาก แต่ “พี่จอง-คัลแลน” ก็ถือเป็นอีกหนึ่งปรากฏการณ์แห่งปี 2024 สองหนุ่มยูทูบเบอร์จากช่อง Cullen HateBerry ที่สร้างกระแส “ใจฟู” ทั่วประเทศมาตั้งแต่ปี 2023 โดยทั้งคู่เริ่มเป็นที่พูดถึงมากขึ้น จนในที่สุดมียอดผู้ติดตามเพิ่มขึ้นครบ 1 ล้านซับ โดยปีนี้ช่อง Cullen HateBerry มียอดผู้ติดตามอยู่ที่ 2.87 ล้านคน ในขณะที่ Instagram คัลแลนมียอดผู้ติดตาม 1.6 ล้าน และพี่จองมียอดผู้ติดตาม 1.5 ล้าน ในมุมการตลาดถือว่าเป็น “Mega Influencer” ที่มีผู้ติดตามหลักล้านคน
แน่นอนว่าเมื่อพี่จอง-คัลแลนกลายเป็นที่รักของคนไทยมากขนาดนี้และมีแฟนด้อมเหนียวแน่น แบรนด์ต่างๆ ก็อยากจะร่วมงานด้วย ไม่ว่าจะเป็นซัมซุง “Galaxy S24 Ultra” ต่อเนื่องมายัง “Galaxy Z Flip6” และ “Galaxy Z Fold6” หรือ “Laroche-posay” ที่สร้างปรากฏการณ์สยามแตก!
“JerHigh” ครั้งแรกที่พี่จอง-คัลแลนได้ร้องเพลงโฆษณา รวมทั้งผลิตภัณฑ์อาหารแมว “Me-O” แม้แต่ “MISO ซ่า” (มิโซซ่า) ที่พี่จองเรียกชื่อ M-150 เป็นมิโซ ส่งผลให้แบรนด์กล้าลงทุนเปลี่ยนชื่อสินค้า พร้อมเปิดตัวคัลแลน-พี่จองเป็นพรีเซนเตอร์ ส่วน “AIS” มาในฐานะ Co-create Content ร่วมกันสร้างสรรค์คอนเทนต์ในรูปแบบต่างๆ เพื่อสื่อสารบริการ AIS 5G ที่สำคัญยังมีอีกหลายแบรนด์ที่เลือกใช้พี่จอง-คัลแลนเป็นพรีเซ็นเตอร์
ปรากฏการณ์ “Butterbear” Influencer สุดคิวท์ฮีลใจ
แม้ปีนี้จะผันผวนและวุ่นวายแต่ก็ยังมีสิ่งที่ช่วยฮีลใจ จนเป็นปรากฎการณ์ 2024 อย่าง “Butterbear” หรือ “น้องหมีเนย” ที่กลายเป็นกรณีศึกษาด้านการตลาดที่ประสบความสำเร็จจากการทำ Character Marketing ต่อยอดสู่การเป็น Influencer ชื่อดังที่มีแฟนด้อมเป็นมัมหมี-พ่อหมีเหนียวแน่น และยอมเปย์เพื่อน้อง
จากจุดเริ่มต้นการเป็นมาสคอตแบรนด์ Butterbear ที่มีชีวิตจิตใจมีความเป็นมนุษย์ และส่งมอบความสุขให้กับผู้คน จนในงานวันเด็กที่ Butterbear โดดเด่นด้วยคาแรกเตอร์สุดคิวท์ เต้นดุ๊กดิ๊ก นำไปสู่คลิปวิดีโอที่ถูกแชร์บนโซเชียลมีเดียและกลายเป็นจุดเปลี่ยนของน้องหมีเนยและแบรนด์ Butterbear จนเกิดปรากฏการณ์น้องหมีเนยสู่การเป็น Influencer ชื่อดังบนโลกโซเชียล
ทั้งปรากฏการณ์ห้างแตกคิวโชว์ตัวในวันเสาร์-อาทิตย์ที่ EMSPHERE บริเวณร้าน Butterbear ส่งผลให้เกิดด้อมมัมหมี-พ่อหมี นอกจากนี้ยังได้สร้างคอมมูนิตี้บน LINE OpenChat และแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ เพื่อสื่อสารกับแฟนคลับโดยตรง ต่อยอดสู่ LINE Sticker และสินค้า Merchandise ต่างๆ และยังมีอีเว้นต์ Fan Meeting สร้างกรณีศึกษาธุรกิจการตลาดที่มาสคอตแบรนด์ก็เป็น Influencer ได้ในฐานะศิลปินหรือไอดอลที่พร้อมส่งมอบความสุขและกำลังใจ
ปรากฏการณ์ “หมูเด้ง” โด่งดังด้วยพลังโซเชียล
หากไม่พูดถึงปรากฏการณ์ “หมูเด้ง” สำหรับปี 2024 คงเป็นไปไม่ได้ จากกิจกรรมการตั้งชื่อลูกฮิปโปแคระในสวนสัตว์เปิดเขาเขียวบนเพจ “ขาหมูแอนด์เดอะแก๊ง” บนช่องทาง Facebook จนนำมาสู่ “หมูเด้ง” กับความน่ารักและสีส้มบนแก้ม รวมไปถึงอากัปกิริยาการ “สวบ” กับพี่เลี้ยง และขยายไปสู่แพลตฟอร์ม Social Media อื่นๆ อย่าง TikTok และ X จนเกิดเป็นแฮชแท็กมากมาย ส่งผลให้มีผู้ติดตามเป็นจำนวนมากทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก ทำให้สำนักข่าวต่างๆ ให้ความสนใจ
จากข้อมูลยังพบว่า มีการพูดถึงหมูเด้งบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ ในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงกันยายนถึงประมาณ 8,600 ครั้ง และยังพบผู้ติดตามมีส่วนร่วมกับเนื้อหาของหมูเด้ง (Engagement) รวมประมาณ 38 ล้านครั้ง โดย Facebook เป็นช่องทางหลักที่มีการพูดถึงหมูเด้งมากที่สุด ขณะที่ TikTok กลายเป็นช่องทางที่ผู้ติดตามมีส่วนรร่วมกับเนื้อหาของหมูเด้งมากที่สุด
นำไปสู่การร่วมกับแบรนด์ต่างๆ อย่าง ไปรษณีย์ไทย ออกแสตมป์และโปสการ์ดชุดหมูเด้ง, ชาตรามือ กับรูปหมูเด้งบนแก้วเครื่องดื่ม, แบล็คแคนยอน คิดเครื่องดื่ม Hippoween, AIS เสื้อยืดและไลน์สติ๊กเกอร์อุ่นใจXหมูเด้ง, CP All ออกแบบลายแก้วและสติ๊กเกอร์หมูเด้ง จำหน่ายในร้านคัดสรรและเบลลินี่, นันยางมาร์เก็ตติ้ง รองเท้าแตะช้างดาวรุ่นพิเศษรวมไปถึง GMM MUSIC ในการสร้างเพลงสำหรับหมูเด้งผ่านผลงานเพลง 2 ซิงเกิล ที่ถูกทำขึ้นมาถึง 4 เวอร์ชั่นและ 4 ภาษา ทั้ง ไทย, จีน, อังกฤษและญี่ปุ่น แถมด้วยน้อง “เอวา” น้องเสือสุด Cute จากสวนสัตว์เชียงใหม่ ที่กำลังมาแรงและทำให้หลายคนลืมความน่ากลัวของเสือไปจนหมดสิ้น
ปรากฏการณ์ The Icon เหล่าบอสเขย่าวงการขายตรง
อีกหนึ่งปรากฎการณ์ 2024 ที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้กับ The Icon Group จากกรณีข่าวฉาวที่สะเทือนวงการธุรกิจขายตรง จุดเริ่มต้นจากการที่บริษัทถูกกล่าวหาว่าใช้กลยุทธ์การตลาดที่ไม่โปร่งใส หลอกลวงให้ผู้คนหลงเชื่อ และสร้างความเสียหายให้กับผู้บริโภคจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงในสังคม และนำไปสู่การตรวจสอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เหตุการณ์นี้ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อ The Icon Group และวงการของธุรกิจขายตรงเท่านั้น แต่ยังสร้างแรงสั่นสะเทือนไปยังวงการต่างๆ ตั้งแต่ชาวบ้านที่ตกเป็นเหยื่อ ดารา นักแสดงที่ถูกโยงใย ทนายความที่เข้ามาให้ความช่วยเหลือ สื่อมวลชนที่เกาะติดรายงานข่าว รวมไปถึงผู้ประกอบธุรกิจขายตรงรายอื่นๆ ที่ต้องปรับตัวและสร้างความน่าเชื่อถือ เพื่อเรียกความมั่นใจจากผู้บริโภคกลับคืนมา
กระแสข่าว The Icon Group ในปี 2024 ที่นับจนถึงวันนี้ก็ยังอยู่ระหว่างกระบวนการทางกฎหมายไม่จบสิ้น จึงกลายเป็นอีกกรณีศึกษาสำคัญ ที่สะท้อนให้เห็นถึงปัญหา และความท้าทายของธุรกิจขายตรงในยุคปัจจุบัน นอกจากนี้ยังเป็นอุทธาหรณ์ให้ทุกๆธุรกิจระมัดระวังมากขึ้นกับการใช้กลยุทธ์ทางการตลาดที่หมิ่นเหม่ที่อาจผิดกฎหมาย ด้านอุตสาหกรรมสื่อ ดาราและอินฟลูเอ็นเซอร์เองก็ต้องระมัดระวังตรวจสอบรายละเอียดก่อนรับงานมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งกลับมาถูกจับตามองอีกครั้งว่า จะเข้ามาช่วยระแวดระวังกำกับดูแล และคุ้มครองผู้บริโภคได้มากขึ้นได้อย่างไร