น่าจับตามองเป็นอย่างมาก เมื่อแบรนด์เบอร์เกอร์ชื่อดัง ‘เบอร์เกอร์คิง’ (Burger King) ในไทย ได้ออกโปรดักท์ใหม่ ‘ไอศกรีมถ้วย’ ภายใต้แบรนด์ของตัวเอง และทาง ‘ธนวรรธ ดำเนินทอง’ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เบอร์เกอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้บริหารร้านเบอร์เกอร์คิง บอกกับ Marketing oops ว่า ‘ไทยเป็นแห่งแรกของโลก’ และหาก ‘เวิร์ค’ อาจเป็นกรณีศึกษานำขยายไปสู่ประเทศอื่น ๆ
เหตุผลของการออกโปรดักท์ใหม่ตัวนี้ ธนวรรธ อธิบายว่า ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะต้องการเข้าไปแข่งขันหรือแย่งมาร์เก็ตแชร์ในตลาดไอศกรีมถ้วย ซึ่งจากยูโรมอนิเตอร์ได้รายงานมูลค่าของตลาดนี้ไว้ที่ 11,000 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 4.1% ต่อปี แต่มาจากต้องการสร้างความหลากหลายในตัวโปรดักท์ ให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคในประเทศ และสะท้อนความเป็นตัวตนของแบรนด์ตามคอนเซปต์ Have something for everyone สร้างสีสันและมีมื้ออาหารสำหรับทุกคนในครอบครัวในทุกช่วงเวลาของวัน
“คนยุคนี้ขี้เบื่อ และคนไทยชอบวาไรตี้ บวกกับการที่เราเองเป็น Family Brand จึงพยายามสร้างวาไรตี้ของโปรดักท์ใหม่มาตลอด เช่น 2 ปีที่ผ่านมามีการเพิ่มเมนูข้าวหรือในปีที่ผ่านมาได้เพิ่มเมนูไก่ทอดและโจ๊ก ขณะที่ไอศกรีมแบบถ้วย เป็นการเพิ่มทางเลือกในกลุ่ม dessert หรือขนม อีกกลุ่มโปรดักท์ที่เบอร์เกอร์คิงให้ความสำคัญ เพื่อตอบโจทย์คาแรกเตอร์ของแบรนด์และความต้องการตลาดในประเทศ”
ชู ‘ราคา+รสชาติ’ มัดใจผู้บริโภค
สำหรับสิ่งที่เบอร์เกอร์คิงในไทยพยายามทำ เพื่อพัฒนากลุ่ม dessert ก็คือ สร้าง format ใหม่นอกเหนือจากขนมที่มีอยู่ อาทิ ซอฟ์ทเสิร์ฟ, มิลด์เชค ฯลฯ ภายใต้จุดแข็ง ‘ของดีมีคุณภาพในราคาจับต้องได้’ อย่างไอศกรีมถ้วย ซึ่งเพิ่งวางขายไปเมื่อ 2 กันยายน 2564 ที่ผ่านมา เป็นสูตรที่ทางเบอร์เกอร์คิงในไทยพัฒนาขึ้นมาเอง และให้โรงงานในเครือไมเนอร์ ที่ได้รับการยอมรับในเรื่องมาตรฐานจากบริษัทแม่ของเบอร์เกอร์คิงเป็นผู้ผลิต
รวมถึงดีไซน์สินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคปัจจุบันที่นอกจากรับประทานสะดวก ยังให้ความสำคัญในเรื่อง food safety ความสะอาดและความปลอดภัยของอาหารเป็นอย่างมาก โดยวางราคาจำหน่ายถ้วยละ 29 บาท ปัจจุบันมีเพียงรสชาติเดียว นั่นคือ รสช็อคโกแลต และวางขายเฉพาะหน้าร้านเบอร์เกอร์คิงทั้ง 97 สาขา ไม่มีให้บริการผ่านเดลิเวอร์รี่ และช่องทางรีเทลอื่น ๆ
“ของหวานจะเป็น last dish เราจึงวางกลยุทธ์ให้มีราคาเบา ๆ เพื่อผู้บริโภคจะตัดสินใจซื้อได้ง่าย และไมเนอร์เองมีโรงงานผลิตไอศกรีมอยู่แล้ว เราออกตัวนี้มาได้ประโยชน์หลายทาง คือ ลูกค้าได้ลองของใหม่ อีกทางเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับบริษัทในเครือ ส่วนที่เลือกวางช็อคโกแลต เพราะเป็น 1ใน 2 รสชาติยอดนิยมที่ลูกค้าชอบ และในอนาคตจะมีการเพิ่มรสชาติใหม่เข้ามาแน่นอน”
หากเวิร์ค อาจเป็นกรณีศึกษาต่อยอดสู่ประเทศอื่น
สำหรับโปรดักท์ใหม่ตัวนี้ ผู้จัดการทั่วไป เบอร์เกอร์คิงในไทยกล่าวว่า กระแสตอบรับจากผู้บริโภคดีมาก จนบางสาขาไม่มีสินค้าจำหน่าย หากในระยะยาวผลการตอบรับเวิร์คแบบนี้ เขาเองได้มีการพูดคุยกับบริษัทแม่เบอร์เกอร์คิงในต่างประเทศเช่นกันว่า อาจจะใช้ไทยเป็นกรณีศึกษา เพื่อนำโปรดักท์ตัวนี้ไปต่อยอดวางจำหน่ายในเบอร์เกอร์คิงประเทศอื่น ๆ ก็เป็นได้
ส่วนในอนาคต เบอร์เกอร์คิงในไทยจะขยายการจัดจำหน่ายไอศกรีมแบบถ้วยภายใต้แบรนด์ของตัวเองสู่ช่องทางรีเทลอื่น ๆ อย่างร้านสะดวกซื้อ และซุปเปอร์มาร์เก็ต ฯลฯ เพิ่มขึ้นหรือไม่นั้น ยังเร็วเกินไปที่จะบอก เพราะการทำธุรกิจรีเทลไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่าย ๆ และมีความแตกต่างจากธุรกิจที่ทำอยู่ในปัจจุบันเป็นอย่างมาก ซึ่งเบอร์เกอร์คิงอาจไม่มีความผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้
แต่สิ่งหนึ่งที่จะเห็นอย่างแน่นอนในอนาคต ก็คือ การนำเสนอโปรดักท์ใหม่ ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุผลเพราะ ผู้บริโภคยุคปัจจุบันเป็นคนขี้เบื่อ โดยช่วงปลายปีนี้ จะเปิดตัวโปรดักท์ใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในภูมิภาคเอเชีย ขณะที่การทำการตลาดในช่วงครึ่งปีหลัง จะเน้นโปรโมชั่นเพิ่มยอดขาย ในคอนเซปต์ ‘ใหญ่ ย่อมเยา’ อาทิ วอปเปอร์ ราคา 99 บาท, ฟิชสติ๊ก ราคา 49 บาท และชุดชิกเก้นคิง ประกอบด้วย ไก่ทอด เครื่องดื่ม เฟรนฟารยส์ ในราคา 99 บาท เป็นต้น
“สาขาของเบอร์เกอร์คิงหลายสาขาก็ยังต้องปิดอยู่ ตอนนี้สิ่งสำคัญ คือ การเพิ่มยอดขาย พอสถานการณ์ดีขึ้น แล้วเราค่อยมาทำอะไรสนุกๆกัน”