Blockchain นวัตกรรมเทคโนโลยีที่จะมาเปลี่ยนโลกอีกครั้ง

  • 331
  •  
  •  
  •  
  •  

ในตอนนี้มีศัพท์แปลก ๆ คำนึงที่เกิดการพูดเป็น Buzzword ขึ้นมาและกลายเป็นกระแสความสนใจของคนที่ทำเรื่อง Startup และสายการเงินอย่างมาก นั้นคือคำว่า Blockchain ซึ่งคำคำนี้มีหลายคนนั้นเข้าใจผิดไปกับคำว่า Bitcoin นั้นอยากมาก และคิดว่าเป็นเรื่องเดียวกัน วันนี้เราจะมารู้จักกับคำว่า Blockchain คืออะไร  มีความสำคัญอย่างไรต่ออนาคต และทำไมธนาคารถึงกลัวกันอย่างมากกับเทคโนโลยี

httpv://www.youtube.com/watch?v=sYduOfRLHq0

ก่อนอื่นเลยนั้นต้องเข้าใจเรื่องค่าเงินก่อนนั้นว่าค่าเงินนั้นกำหนดกันอย่างไร ในอดีตนั้นค่าเงินนั้นกำหนดโดยการเอาของมีค่านั้นไปฝากไว้กับธนาคาร และธนาคารจะออกใบเป็นตั๋วรับรองว่าสิ่งมีค่าที่ฝากไว้กับธนาคาร ซึ่งคนที่เอาสิ่งของไปฝากนั้นสามารถเอาตั๋วนั้นไปใช้เป็นเงินที่ใช้แลกเปลี่ยนหรือซื้อของกันได้ภายในตลาด โดยเมื่อตลาดพัฒนาขึ้นทำให้ตั๋วรับรองทรัพย์สินนี้ถูกเปลี่ยนมาเป็นธนบัตรในที่สุด เพื่อใช้รับรองว่าการใช้หนี้หรือซื้อขายกันตามกฏหมาย ซึ่งต่อมาเมื่อประเทศมีธนาคารกลางขึ้นมาตั๋วหรือธนบัตรนี้ก็ผูกกับทรัพย์สินมีค่ากันมาโดยตลอด โดยผู้นำนั้นคือประเทศอเมริกาที่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้นธนบัตรเหล่านี้ได้ผูกกับสิ่งที่มีค่าที่รู้จักกันดีคือ “ทองคำ” จนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจของอเมริกา ทำให้อเมริกาเลิกการผูกกับค่าเงินทองคำและหันมาผูกกับทรัพย์สินมีค่าอื่น ๆ เรื่อยมาไม่ว่าจะเป็นน้ำมันหรืออื่น ๆ  และเมื่อล่าสุดที่อเมริกาเกิดวิกฤต Subprime ขึ้นทำให้การผูกค่าเงินกับสิ่งมีค่าของอเมริกานั้นหมดไป กลายเป็นว่า ดอลลาร์สหรัฐในตอนนี้ไม่ได้ผูกกับอะไรเลย แต่ผูกกับระบบเศรษฐกิจของอเมริกาไว้เท่านั้น ซึ่งนี้ทำให้เหมือนว่าค่าเงินดอลลาร์นี้จะมีค่าตามตกลงกันในเศรษฐกิจโลก ระบบนี้ธนาคารจะเป็นคนเก็บการเปลี่ยนแปลงของธุรกรรมต่าง ๆ (Ledger) และการเดินบัญชีต่าง ๆ ที่ธนาคาร (Centralised Ledger) ซึ่งไม่มีใครสามารถล่วงรู้การเดินบัญชีคนอื่นได้ มีแต่ตัวเจ้าของเองที่รู้และทุก ๆ ครั้งที่อยากรู้ก็ต้องเอาสมุดบัญชีไปอัพเดทข้อมูลในแต่ละครั้ง

Blockchain-Image-e1443026321732

ทั้งนี้มีกลุ่มคนที่มองเห็นแนวคิดนี้ และคิดว่าการเอาเงินไปฝากไว้กับธนาคาร หรือให้ธนาคารเป็นตัวกลางนั้นไม่ปลอดภัยอีกต่อไป เพราะธนาคารนั้นล้มเมื่อไหร่ก็ได้ และการถูกเจาะขโมยเงิน การเดินบัญชีที่อาจจะเปลี่ยนแปลงได้ หรือการที่อยู่ดี ๆ ทรัพย์สินนั้นไม่มีค่าขึ้นมาก็เป็นไปได้ กลุ่มคนนี้จึงได้ออกมาสร้างสกุลเงินใหม่ที่เรียกว่า Bitcoin ซึ่งเป็นค่าเงินดิจิตอลที่มีจำนวนจำกัดคือ 21 ล้าน unit Bitcoin ซึ่งกลุ่มคนนี้มีชื่อที่เรียกกันว่า Satoshi Nakamoto (ทำไมผมถึงเรียกเป็นกลุ่มคน เพราะหลาย ๆ คนที่ติดตามเรื่องนี้มีความเชื่อว่าคนสร้าง Bitcoin และการพัฒนา Blockchain ไม่น่าจะเป็นคนเดียวได้และต้องมีทีมพัฒนาขึ้นมา) ซึ่งก็มีคนพยายามแอบอ้างหรืออ้างว่าตัวเองเป็น Satoshi Nakamoto อยู่เนื่อง ๆ

151103-blockchain-bitcoin-technology-banking-fintech-FT

Bitcoin นั้นเป็นสกุลเงินที่เรียกว่าเป้น Crytocurrency คือเป็นค่าเงินที่มีจำนวนจำกัดในระบบโดยการเกิดขึ้นของเงินนี้จะถูกทำผ่าน Algorithm ต่าง ๆ ในระบบโดยไม่สามารถรู้ตัวตนของเจ้าของเงินได้หรือสามารถแก้ค่าของเงินนี้ได้ ซึ่งระบบการแลกเปลี่ยนหรือการเกิดขึ้นมาของ Bitcoin นี้ต้องอาศัยเทคโนโลยีที่เรียกว่า Blockchain โดย Blockchain นี้เป็นระบบที่ Satoshi Nakamoto สร้างขึ้นและให้กลุ่มคนต่าง ๆ เอาไปใช้เพื่อสร้างฐานข้อมูลที่กระจายและทำสำเนาของฐานข้อมูลนี้ ซึ่งเป็นระบบที่แตกต่างจากธนาคารเพราะระบบนี้การยืนยันค่าของเงินนั้นจะถูกยืนยันโดยระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ใน Blockchain ซึ่งเมื่อระบบนั้นยืนยันค่าของสิ่งของที่ใส่มาใน blockchain จะถูกนำไปสร้างเป็นรายการเดินบัญชีที่ถูกใส่รหัสเอาไว้ และเปิดเผยต่อคนทั่วไปว่ามีรายการบัญชีอะไรบ้างที่เกิดขึ้น ซึ่งทุกคนจะเห็นรายการเดินบัญชีนั้นแค่ไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของบัญชีเพราะทุกอย่างถูกใส่รหัสไว้หมด คนที่จะเปิดเผยธุรกรรมนั้นได้ต้องมีกุญแจ (Private Key) ที่ระบบสร้างมาให้ในการไขเท่านั้น

toptal-blog-image-1421057477046

ข้อดีที่เกิดขึ้นแทนที่รายการเดินบัญชีนั้นจะถูกเก็บไว้ที่ใดที่หนึ่งในธนาคารในอดีตและถูกโจมตีหรือแก้ไขได้ง่ายในธนาคาร การที่มาอยู่ใน Blockchain เช่นนี้รายการเดินบัญชีนั้นจะถูกยืนยันโดยระบบและทำการทำสำเนาไปยังเครื่องเครือข่ายทั้งหมด (Decentralised Ledger) ซึ่งถ้าใครจะสร้างธุรกรรมปลอมขึ้นมาจะไม่สามารถทำได้ เพราะจะขัดแย้งกับข้อมูลในระบบทั้งหมดที่มีสำเนาไว้ และทำให้ระบบไม่ยอมรับธุรกรรมปลอมนั้นขึ้นมา (ซึ่งถ้าใครจะแก้ไขได้ ต้องเข้าไปแก้ไขสำเนาทั้งหมดกว่า 50% ของระบบทั้งหมด) ทั้งนี้คอมพิวเตอร์ที่ตรวจสอบและยืนยันนั้นจะเป็นคนสร้างการเดินบัญชีที่ต่อ ๆ กันที่เกิดการต่อจาก Block ธุรกรรมหนึ่งไปสู่ธุรกรรมหนึ่ง เป็นห่วงโซ่ไปเรื่องที่กลายเป็น Blockchain ซึ่งการยืนยันโดยคอมพิวเตอร์เครือข่ายนี้ระบบจะใช้ Alogrithm ในการสร้างการยืนยันและสร้างเป็น Hash ขึ้นมาว่าข้อมูลใน Block นั้นถูกต้องแล้ว ซึ่งคอมพิวเตอร์ของคนที่ทำการยืนยันสำเร็จนั้นจะได้ค่าทำธุรกรรมหรือค่าธรรมเนียมเป็น Crytocurreny ในนั้นแทน (ซึ่งถ้าระบบ Bitcoin ก็เป็น Bitcoin) ทั้งนี้ระบบ Blockchain นั้นที่หลาย ๆ ธนาคารนั้นกลัวคือการที่ระบบการที่ตัวเองทำหน้าที่เป็นตัวกลางนั้นหายไป และกลายเป็นระบบ Algorithms  กลายมาเป็นตัวกลางแทนในระบบของ Blockchain โดยมีการเปิดเผยและสร้างธุรกรรมที่มีความปลอดภัย หรือระบบที่มีความน่าเชื่อถือขึ้นมาแทนธนาคารได้อย่างมากมาย ทำให้ไม่มีความจำเป็นที่ต้องพึ่งธนาคารอีกต่อไป

Screen Shot 2559-05-05 at 11.42.39 AM

ตอนนี้ Blockchain นั้นถูกเอามาใช้ในการทำธุรกรรมที่มีความสำคัญต่าง ๆ ทั่วโลกที่ต้องมีการยืนยันความมีค่าหรือการยืนยันธุรกรรมต่าง ๆ ขึ้นมา เช่นการแลกเปลี่ยนเงิน การซื้อขายทองคำ เพชร ภาพวาด นอกจากนี้ยังเอามาใช้กับการซื้อขายบ้าน และการทำส่งออก หรือสัญญาต่าง ๆ อีกด้วย (สัญญาที่เขียนใน Blockchain จะไม่สามารถแก้ไขได้ จากคนภายนอก ซึ่งจะแก้ไขได้โดยคนที่มี Private key เท่านั้น นอกจากนี้ยังบันทึกด้วยว่าใครเป็นคนแก้ไขอีกด้วย) ทั้งนี้ในต่างประเทศนั้นก็มี Startup Blockchain เกิดขึ้นมากมาย และมีหลาย ๆ บริษัทหรือธนาคารขนาดใหญ่ลงมาในสนาม Blockchain อีกด้วย ในเมืองไทยเองก็เริ่มเห็น Startup ด้าน Blockchain เช่นกัน อย่างเช่นบริษัท Everex ที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางแลกเปลี่ยนหรือโอนเงินผ่านทาง Blockchain

Blockchain-in-Financial-Services-Landscape

ทั้งนี้ Blockchain นั้นกำลังเป็นเทคโนโลยีที่กำลังตั้งไข่ และมีแนวโน้มว่าจะมีความสำคัญเหมือนดังเช่นการเกิดขึ้นมาของ Internet ในอดีต ใครที่ไม่อยากพลาดกระแสในตอนนี้ต้องลองศึกษาดูในแนวคิดของการเกิดขึ้นมาของ Blockchain นี้และอนาคตที่กำลังเติบโตของ Blockchain  เช่นกัน

btcs-inc-investor-presentation-7-638

 

Copyright © MarketingOops.com


  • 331
  •  
  •  
  •  
  •  
Molek
Head of Strategic Marketing ใน Integrated Service Agency ที่หนึ่ง ผู้หลงใหลในหลาย ๆ ที่มีความอยากรู้และเรียนรู้ในเรื่อง Startup, นวัตกรรม, การตลาด จากมุมมองหลาย ๆ ด้านและวัฒนธรรมของแบรนด์ต่าง ๆ