ในแวดวงอุตสาหกรรม หากเอ่ยชื่อ ธีรชัยไพศาล คอร์ปอเรชั่น จำกัด เชื่อว่าผู้ประกอบการในแวดวงอุตสาหกรรมรับรู้กันดีว่านี่คือผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายสินค้าประเภทอุปกรณ์ไฟฟ้าคอนโทรลคุณภาพสูงรายใหญ่ในไทย ทั้งมีชื่อเสียงมายาวนานมากกว่าสี่สิบปี
ปัจจุบันบริษัทฯ จัดจำหน่ายสินค้าเน้นแบรนด์คุณภาพเป็นหลัก ทั้งจาก ไต้หวัน ยุโรป จีน และอินเดีย เป็นต้น รวมแล้วน่าจะมีไม่ต่ำกว่า 10,000-20,000 SKU จากการเติบโตในวันนี้ ธีรชัย ไพศาล กำลังเป็นอีกธุรกิจที่กำลังถูกส่งต่อไปสู่ Generation ใหม่
คุณชนินทร์ เตรัตนชัย ถือเป็นเจนเนอเรชันสอง ที่เข้ามาสานต่อธุรกิจครอบครัวอย่างเต็มตัว ปัจจุบันเขากับพี่น้องในตระกูลทั้งสามคนต่างเข้ามาทำหน้าที่ช่วยกันดูแลธุรกิจในแต่ละด้าน
โดย “คุณชนินทร์” รับผิดชอบในส่วน Business Development มีหน้าที่หลักคือดูเรื่องสินค้า โดยรับผิดชอบทั้งการวิเคราะห์ พัฒนาสินค้า ตลอดจนมองหาสินค้าใหม่ ๆ นำเข้ามาจัดจำหน่าย ไปจนถึงการดูแลด้านคลังสินค้า
ปรับโครงสร้าง ก้าวแรกของความท้าทายหลังการรับช่วงต่อ
“เดิมออฟฟิศเก่าเราอยู่คลองถม ซึ่งปัจจุบันมีพื้นที่ค่อนข้างคับแคบไม่พอรองรับลูกค้า ที่สำคัญยังดำเนินธุรกิจเป็นธุรกิจครอบครัว ไม่ได้มีการแบ่งแผนกชัดเจน”
เขาบอกถึงเหตุผลที่ย้ายมาตั้งสำนักงานแห่งใหม่มาอยู่บนถนนบางนา-ตราด
สำหรับการย้าย Head Quarter ครั้งนี้ยังเป็นโอกาสสำคัญในการปรับโครงสร้างองค์กร ครั้งสำคัญของธีรชัย ไพศาลและยังเป็นความท้าทายสำหรับเขาในการพาทีมงานไปสู่การทำงานในยุคใหม่ ยุคที่เป็นการผสมผสานกันระหว่างพนักงานรุ่นเก่าและรุ่นใหม่
“ที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นรุ่นใหม่ที่เพิ่งเข้ามาและมีพนักงานเก่าบ้างบางส่วน คือออฟฟิศเก่าก็ยังเปิดทำการ พนักงานเก่าเขาจะค่อนข้างคุ้นเคยกับที่นั่นมากกว่า และส่วนใหญ่จะมีครอบครัวอยู่ที่นู่น เลยไม่อยากย้ายมา”
ด้วยสไตล์การบริหารงานแบบคนรุ่นใหม่ ทำให้เขายังมองเห็นภาพรวมธุรกิจในอีกมุม ที่พยายามนำพาองค์กรตอบโจทย์ยุคสมัย และคุณชนินทร์เลือกที่จะพัฒนาทั้งจุดแข็งและปรับปรุงจุดอ่อนเพื่อรองรับการขับเคลื่อนไปข้างหน้า
“หลังย้ายมาที่นี่ ผมเริ่มมีการปรับโครงสร้างองค์กร ที่เราพยายามปรับให้มีความชัดเจนมากขึ้น มีแผนกต่าง ๆ และเพิ่มฝ่ายมาร์เก็ตติ้ง ฝ่ายวิเคราะห์ข้อมูลขึ้นโดยเฉพาะ ซึ่งผมมองว่าจะมีประโยชน์มากกับบริษัทในการที่จะขยายธุรกิจออกไปได้แกร่งยิ่งขึ้น”
“ขณะเดียวกันสินค้าเรามีรายละเอียดแตกต่างกันหลากหลายมากและมีความซับซ้อน ทำให้บริษัทต้องให้ความสำคัญด้านพัฒนาคลังสินค้าของตัวเอง ซึ่งเมื่อก่อนเราใช้โปรแกรมสำเร็จรูปช่วยจัดการ แต่หลังย้ายมาที่ออฟฟิศแห่งใหม่ ผมจึงเลือกพัฒนาระบบ WMS และ ERP ที่เหมาะกับธุรกิจเรา”
Culture องค์กร ที่ต้องสร้าง โดยการ Balance ระหว่าง 2 Gen
หลังจบการศึกษาด้านการบริหารธุรกิจที่สหรัฐอเมริกา คุณชนินทร์ได้นำความรู้ที่เรียนมาปรับใช้ ผสมผสานกับแนวทางการบริหารธุรกิจของคุณพ่อ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับคู่ค้า เป็นสิ่งที่เขามองว่าเป็นจุดแข็งที่ยังนำมาใช้ได้กับปัจจุบัน
แม้จะเป็นผู้บริหารรุ่นสองแต่สำหรับธุรกิจนี้ เขาเชื่อว่าเคล็ดลับสำคัญของการทำธุรกิจจะต้อง ไม่ใช่แค่มีโปรดักส์ที่ดีอย่างเดียว แต่ “Relationship” มีความสำคัญมากเช่นกัน
“การทำงานผมจะเรียนรู้จากประสบการณ์คุณพ่อคุณแม่มาเยอะมาก เพราะเรามองว่าท่านเป็นคนที่เข้าใจตลาดและความต้องการลูกค้าในธุรกิจนี้ดีที่สุด อย่างการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีจะช่วยให้มีคู่ค้าที่ดีและเขานึกถึงเราเสมอ ทุกวันนี้ บางรายยังพูดถึงเราเสมอ ผมมองว่าเป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่สร้างมาดีแล้ว และลูกทุกคนก็ต้องรักษาสิ่งนี้ไว้”
สำหรับการบริหารองค์กรที่มีคนอยู่สองเจนฯ เขายังมีความคิดว่าผู้บริหารรุ่นใหม่ไม่ควรลุกขึ้นมาปรับเปลี่ยนโครงสร้างหรือวัฒนธรรมในทันที แต่จะต้องค่อย ๆ ปรับ
“ยอมรับว่า ถ้าเรายังอยู่ที่เก่าก็คงเปลี่ยนยาก แต่ก็ต้องค่อย ๆ เปลี่ยน เพราะถ้าเร็วเกินไป เขาก็ปรับตัวไม่ทัน”
ยู พัทยา อีกหนึ่งธุรกิจที่มาเพราะ “ใจรัก”
หลายคนอาจยังไม่รู้ว่า นอกเหนือจากธุรกิจหลักแล้ว ครอบครัวเตรัตนชัยยังมีอีกธุรกิจที่เกิดจากใจรัก นั่นคือการเป็นเจ้าของโรงแรมหรูระดับห้าดาวในพัทยาอย่าง “ยู พัทยา” ซึ่งเป็นอีกธุรกิจที่ถือว่าไปได้สวย
“โรงแรมเกิดจากไอเดียที่คุณพ่อมีความใฝ่ฝันอยากทำโรงแรมของตัวเอง แล้วพอดีเรามีที่ดินที่พัทยา
แต่เราเองไม่ได้มีความถนัดด้านการบริหารโรงแรมมาก่อน จึงเลือกให้ผู้เชี่ยวชาญมาช่วยบริหาร ซึ่งก็เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง”
ซึ่งตั้งแต่เปิดตัวมา U Hotel Pattaya ได้รับการตอบรับจากลูกค้าอย่างดีทั้งชาวไทยและต่างชาติ ด้วยมีจุดขายที่แตกต่างจากโรงแรมอื่น ๆ
“คอนเซปต์เราเป็นโรงแรมที่เหมาะสำหรับคู่รักที่ต้องการเดินทางมาพักผ่อนชอบทะเล ซึ่งถ้าช่วงปกติ ทุกวีคเอ็นด์โรงแรมเราจะเต็มเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ยาวไปถึง 2 เดือน occupancy rate ของเราอยู่ประมาณ 80-90 กว่าเปอร์เซ็นต์”
เอ่ยถามถึงสถานการณ์ช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบไปทั่ว โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวและโรงแรม คุณชนินทร์เล่าว่า
“เราเพิ่งมาได้รับผลกระทบจริง ๆ ในช่วงที่รัฐบาลประกาศล็อกดาวน์ ตอนนั้นลูกค้าแคนเซิลหมด โรงแรมต้องปิดประมาณสองเดือน แต่หลังจากคลายล็อก เรากลับมาเปิดอีกที เผอิญโรงแรมเราอยู่ที่พัทยา ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ทำให้ช่วงที่คนยังไม่กล้าเดินทางไกลหรือใช้เครื่องบิน เลยเลือกที่จะเที่ยวใกล้ ๆ ซึ่งก็ทำลูกค้าเริ่มกลับมาพักแทบจะแน่นเหมือนปกติ”
วิกฤตที่กลายเป็นโอกาส
“ส่วนทางด้านผลกระทบต่อธุรกิจหลักของครอบครัว ช่วงที่เขาปิดตัวกัน บริษัทยังทำงานปกติ แต่หลังจากผ่านไปประมาณสองเดือน คนเริ่มจับจ่ายใช้สอยลดลง เริ่มมีผลกระทบมาที่อุตสาหกรรม หลายแห่งต้องชะลอตัว หรือลดการผลิตลง เราเริ่มเห็นตัวเลขดร็อปลงประมาณเดือนพฤษภาคม”
แต่ในวิกฤตก็ยังกลายเป็นโอกาส เพราะในวิกฤตครั้งนี้อาจเป็นความโชคร้าย ที่ยังมาพร้อมกับความโชคดีสำหรับธุรกิจ เดิมสินค้าของบริษัทจะเน้นแต่สินค้าพรีเมียมคุณภาพสูง ฐานลูกค้ากลุ่มหลักคือโรงงานญี่ปุ่นในกรุงเทพฯ และปริมณฑล แต่จากสถานการณ์ดังกล่าว ทำให้คุณชนินทร์เลือกมองหาสินค้าที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่ต้องการสินค้าทดแทนหรือลดต้นทุน เขาจึงตัดสินใจเลือกนำเข้าสินค้าจากประเทศจีนเพื่อมาเป็นอีกทางเลือกสำหรับลูกค้า
“จริง ๆ เรามีแผนที่จะขยายธุรกิจอยู่แล้วก่อนหน้า คือเริ่มมองเห็นแนวโน้มเศรษฐกิจสองปีที่ผ่านมาไม่ค่อยดีเท่าไหร่ จึงมองหาธุรกิจใหม่ แต่เผอิญในช่วงเกิดโควิด ทำให้โรงงานที่ประเทศจีนไม่สามารถผลิตหรือจัดส่งสินค้าให้ได้ และเขาเพิ่งกลับมาส่งให้เราได้อีกทีหลังโควิดคลี่คลายแล้ว ซึ่งก็ทำให้เรามีสินค้าที่เหมาะสมกับตลาด เป็นออพชันมาจำหน่ายในจังหวะที่อุตสาหกรรมเริ่มได้รับผลกระทบพอดี” เขากล่าว
เติมเต็มประสบการณ์ท้าทายใหม่ๆ เสมอ
เมื่อธุรกิจครอบครัวเริ่มอยู่ตัว เป็นเรื่องปกติที่บางคนจะมองหา “ความท้าทาย” ใหม่ๆ เพื่อสร้างประสบการณ์ให้กับตัวเอง เช่นเดียวกับคุณชนินทร์ที่เลือกหันมาโฟกัสธุรกิจส่วนตัวที่ตัวเองชอบ
“คือทุกวันทำงานเหมือนเดิม บางทีก็มีความเบื่อบ้าง เราอยากลองทำสินค้าที่เราเริ่มด้วยตัวเอง อยากทำอะไรใหม่ๆ ที่ชาเลนจ์ตัวเอง ซึ่งผมเป็นคนที่สนใจเรื่องสุขภาพ ตอนนี้จึงร่วมลงทุนทำบราวนี่กรอบเพื่อสุขภาพกับเพื่อน ทีแรกเราตั้งใจจะวางจำหน่ายในห้างสรรพสินค้า แต่เผอิญมาเจอโควิด เลยต้องปรับเปลี่ยนมาเป็นช่องทางออนไลน์แทน ก็ได้รับการตอบรับค่อนข้างดี นอกจากนี้มีไอศกรีม ทำแอลกอฮอล์ขายบ้าง เป็นต้น
ซึ่งก็มีที่ทำแล้วประสบความสำเร็จบ้าง ล้มเหลวบ้าง แต่ผมว่ามันเป็นบทเรียน เราทำแล้วไม่ซักเซสไม่ได้เงิน แต่เราได้บทเรียน ทุกอย่างคือการเรียนรู้หมด เป็นความสนุกที่ได้เรียนรู้”
“ดิจิทัล” เทคโนโลยีที่ตอบโจทย์งานและชีวิต
เมื่อคุยเรื่องเทคโนโลยีที่กำลังมีบทบาทต่อชีวิตเราในวันนี้ ในมุมมองเขา “เทคโนโลยี” คือสิ่งที่ช่วยให้ชีวิตสะดวกสบายขึ้นได้จริง
“โดยเฉพาะอย่างเรื่อง data นี่มีประโยชน์ค่อนข้างมาก เพราะสามารถใช้มาช่วยวิเคราะห์ข้อมูลที่เราต้องการได้ง่ายขึ้น หรือทุกวันนี้ การที่เราสามารถโอนเงินได้แบบเรียลไทม์ สามารถอำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจ
ปัจจุบันเราพยายามใช้ไลน์ติดต่อกับลูกค้า แม้ลูกค้าบางรายอาจไม่อยากใช้ เราก็พยายามส่งเอกสาร เปิด PO สั่งสินค้าผ่านไลน์ ที่ผมมองคือความสะดวก และผมสามารถตรวจสอบเช็คสลิปลูกค้าได้เลย ใช้เป็นหลักฐานได้ด้วย”
ซึ่งเมื่อเทคโนโลยีเป็นสิ่งจำเป็น ทุกวันนี้ อีกหนึ่งสิ่งที่ผู้คนขาดไม่ได้ จึงเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยเชื่อมต่อเทคโนโลยี และช่วยอำนวยความสะดวกทั้งชีวิตและการทำงานในทุกที่
คุณชนินทร์เป็นอีกหนึ่งคนที่ยอมรับว่าเขาเริ่มหันมาใช้อุปกรณ์ที่เล็กลง แม้แต่โน้ตบุ๊ค เพื่อให้เหมาะกับคนที่ต้องเดินทางเป็นประจำเช่นเขา
“ผมเดินทางบ่อย ทั้งเที่ยวทั้งทำงาน ถ้าในเวลาว่างทุกปีผมจะมีทริปถ่ายรูปต่างประเทศบ้าง ไปเล่นสโนว์บอร์ด ส่วนการทำงานต้องเดินทางตลอดอยู่แล้ว ปกติผมต้องบินไปดูงานเป็นประจำ แต่ปีนี้ไม่ได้บินเลย จึงเลือกเอาเวลาที่มีมาปรับภายในองค์กร ปรับระบบคลังสินค้า ปรับสิ่งที่เราทำไม่ได้หรือไม่มีเวลาทำในช่วงปกติ”
และแน่นอน เมื่อต้องเดินทางบ่อย ๆ คุณชนินทร์มักจะมีอุปกรณ์คู่ใจที่พกพาไปด้วยเป็นประจำ หนึ่งในนั้นย่อมไม่พ้นคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คที่ใช่ สักเครื่อง
“โน้ตบุ๊คมีความสำคัญกับผมมากเวลาทำงาน เพราะผมไม่สะดวกการทำงานในมือถือ บางทีออกไปข้างนอกจะแก้งานก็ลำบาก จอมือถือเล็กขยายก็ได้น้อย บางทีเลยต้องพกไปด้วย”
เผยสเปค “คู่ใจ” ที่ช่วย balance ให้ชีวิตลงตัว
ซึ่งเมื่อถามถึง “โน้ตบุ๊ค” ในดวงใจ สำหรับคุณชนินทร์แล้ว เขาบอกกับเราว่า
“ถ้าเป็นสมัยก่อนเวลาเลือกคอมพิวเตอร์ ผมต้องจอใหญ่ไว้ก่อนเน้น 15 นิ้วเป็นหลัก สเปคต้องอัดเต็ม เล่นเกมได้ การ์ดจอต้องมีสเปคสูง ๆ ฮาร์ดดิสต์ต้องเยอะ แต่เวลาแบกทีนี่หนักมาก ซึ่งผมต้องแบกไปเรียนที่อเมริกา ไปปราก ไปญี่ปุ่น ซึ่งสมัยนั้นโอเค เรายังแบกไหว แต่พอกลับมาทำงานสักระยะ กลับไปใช้เครื่องแบบนั้นชักเริ่มรู้สึกว่าหนักมาก ยิ่งเวลาที่เราบินไปดูงาน ซึ่งผมเป็นคนที่ต้องเดินทางบ่อย แล้วเราต้องขนของไปด้วยอีก ที่สำคัญผมเป็นคนชอบถ่ายรูป ดังนั้นต้องมีกล้องไปด้วย ตอนแรกสะพายเป้ ต่อมาไม่ไหวแล้ว เราต้องแบกเดินงานทั้งวัน แค่เดินก็เมื่อยแล้ว เลยเปลี่ยนมาใช้กระเป๋าลากเอกสาร”
ดังนั้น คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คที่ใช้หลัง ๆ ของเขาจึงเน้นเรื่อง “ความเบา” เป็นหลัก
“เวลาพกไปทำงานต่างประเทศเหมือนไม่ได้ถืออะไร แต่อย่างไรก็ตาม “สเปค” ยังต้องดี และที่สำคัญราคาเหมาะสม ซึ่งมันหายากมากที่จะได้ครบสามอย่างนี้
ซึ่งมาเจอ Asus ถือเป็นสเปคที่ตอบโจทย์ผม อันดับแรกคือมันเบามาก รวมถึงความจุฮาร์ดดิสก็ต้องเยอะ เผื่อไว้สำหรับดูหนังและเล่นเกม
อีกสิ่งที่สะดุดตาคือจอที่เป็น seamless ที่แม้ขนาดเครื่องเล็กลง แต่เรายังได้จอที่ใหญ่ ๆ พอกับขนาด 15 นิ้ว
นอกจากนี้สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับผมคือ การเชื่อมต่อที่ง่าย เพราะปกติจะต่อโน้ตบุ๊คเข้าไปที่จอแอลอีดีใหญ่ๆ ผ่านไวไฟ ซึ่งทำให้สามารถดูงานในจอใหญ่ได้สบายขึ้น เพราะในการทำงานผมต้องใช้โปรแกรมเอ็กเซลซึ่งมีตารางค่อนข้างยาวมาก แน่นอนว่าโปรเซสเซอร์ต้องแรง อย่าง CPU 10th Gen Intel® Core™ และเครื่องนี้ยังได้รับการรับรองจาก Intel Project Athena ซึ่งมั่นใจได้ในประสิทธิภาพ รองรับการทำงานขั้นสูง เสถียร รวมถึงจะใช้งานหลายหน้าต่าง มัลติทาสกิ้ง ก็ไม่มีปัญหา เพราะผมต้องเปิดไฟล์งานเยอะพร้อม ๆ กันบ่อยมาก รวมถึงโปรแกรมหนัก ๆ อย่าง Adobe Illustrator ที่สำคัญผมต้องเข้าระบบ WMS ดังนั้นต้องเปิดได้เร็วทันที ซึ่งการที่ใช้ CPU 10th Gen Intel® Core™i7 ก็รองรับการทำงานทุกประเภทครับ
รวมถึงอีกฟีเจอร์ที่ชอบสำหรับตัวนี้คือ NumberPad ที่มีแป้นตัวเลขพร้อมไฟ LED ส่องสว่าง สะดวกมากเวลาที่ต้องกรอกข้อมูลตัวเลขต่าง ๆ” เขากล่าว
รู้จัก ASUS ExpertBook B9 โน้ตบุ๊คธุรกิจขนาด 14 นิ้วที่เบาที่สุดในโลก
ASUS ExpertBook B9 โน้ตบุ๊คธุรกิจระดับพรีเมี่ยม ที่เบาและบางเหมาะสำหรับ นักธุรกิจ ผู้บริหาร และกลุ่มคนทำงานที่ต้องการโน้ตบุ๊คเสปคสูง มีความทนทาน และตอบโจทย์การทำงานต่าง ๆ แบบครบครัน
ถือเป็นโน้ตบุ๊คธุรกิจขนาด 14 นิ้วที่เบาที่สุดในโลก เพราะมีน้ำหนักเพียง 870 กรัม ตัวเครื่องบางเบา นอกจากนี้ วัสดุตัวเครื่องผลิตจาก โลหะผสมแม็กนีเซียม-ลิเธียม ที่มีน้ำหนักเบา แต่ยังแข็งแกร่ง ทนทาน ทั้งเป็นครั้งแรกสำหรับโน้ตบุ๊คธุรกิจ ที่มี “NumberPad”
อีกจุดเด่นสำคัญตอบโจทย์คนทำงาน คือการมีอายุการใช้งานแบตเตอรี่สูงสุด 24 ชั่วโมง (ในรุ่น 995 กรัม) พร้อมฟังก์ชั่นการชาร์จเร็ว
นอกจากนี้ในด้านความสะดวกสำหรับนักธุรกิจเดินทาง คือยังมีความทนทาน โดยยังผ่านมาตรฐานการทดสอบ MIL-STD-810G มีความทนทานตามมาตราฐานทางทหารของสหรัฐ
ASUS ExpertBook B9 ยังมาพร้อมกับพอร์ต I/O แบบจัดเต็ม โดยมีพอร์ต Thunderbolt™ 3 USB-C ให้ถึง 2 พอร์ต เพื่อการรับส่งข้อมูลที่รวดเร็ว รองรับอุปกรณ์ต่อพ่วงรุ่นใหม่ๆ ได้เป็นอย่างดี นอกจากจะช่วยให้คุณจัดการทางธุรกิจอันยอดเยี่ยม ด้วยโปรแกรมจากทาง ASUS ได้แก่ ASUS Control Center, ASUS Business Manager, ASUS UEFI BIOS แล้ว
รวมถึงภายในมีระบบความปลอดภัย ที่เป็นมาตรฐานทางธุรกิจ ซื่งครอบคลุมตั้งแต่ การป้องกันฮาร์ดแวร์ การเข้ารหัสข้อมูล TPM, ความเป็นส่วนตัวด้วย Webcam Shield, การเข้าใช้งานผ่าน IR Camera, Finger print scan หรือป้องกันตัวเครื่องจากช่อง Kensington Lock เป็นต้
ExpertBook B9450 มี 2 รุ่น ได้แก่
- รุ่น CPU : Core i7, RAM : 16 GB, SSD 1 TB, น้ำหนัก 995 กรัม (66W battery) ใช้งานได้นานสูงสุด 24 ชั่วโมง ราคา 44,900 – 49,990 บาท
- รุ่น CPU : Core i5, RAM : 8 GB, SSD 512 GB, น้ำหนัก 870 กรัม (33W battery) ใช้งานได้นานสูงสุด 12 ชั่วโมง ราคา 38,990 – 43,900 บาท
พร้อมบริการหลังการขายและการรับประกันพิเศษ ทั้งบริการซ่อมถึงที่ 3 ปี, รับประกัน 3 ปีทั่วโลก, รับประกันอุบัติเหตุในปีแรก และการบริการลูกค้าออนไลน์แบบเรียลไทม์
เรียนรู้เพิ่มเติม ExpertBook B9 : https://www.asus.com/th/Commercial-Laptops/ASUS-ExpertBook-B9450FA