จอร์จ โซรอส (George Soros) ผู้อยู่เบื้องหลังวิกฤติต้มยำกุ้งจนนำประเทศไทยไปสู่การพึ่งพาเงินช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อมดนักลงทุน ถ้าคุณรู้จักเขาคนนี้ คุณก็ต้องรู้จัก วอร์เร็น บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) นักลงทุนใจบุญที่มีชื่อเสียงระดับโลก หนึ่งในนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก และยังเป็นผู้มีวิสัยทัศน์ยาวไกล
วอร์เร็น บัฟเฟตต์เคยติดอันดับบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกในช่วงปี 2008 ด้วยทรัพย์สินกว่า 62,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากการจัดอันดับของนิตยสารฟอร์บส์และยังเป็นบุคคลที่รวยที่สุดอันดับสามของโลก ภาพลักษณ์ที่ทำให้นักลงทุนทั่วโลกประทับใจในตัว วอร์เร็น บัฟเฟตต์ คือวิธีการลงทุนแบบคุณค่า โดยวอร์เร็นต้องเห็นถึงประโยชน์และผลตอบแทนที่จะได้รับกลับมา ทั้งในแง่มูลค่าและคุณค่า รวมไปถึงวิถีชีวิตที่เรียบง่ายตามแบบฉบับชาวไร่ชาวอเมริกัน แม้จะมีตำแหน่งมหาเศรษฐี 1 ใน 3 ของโลกก็ตาม
ดูเหมือนว่า วอร์เร็น บัฟเฟตต์เริ่มขยับการลงทุนอีกครั้งหลังจากที่เขาหันไปลงทุนในงานวิจัยเพื่อสังคม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเทคโนโลยีอุปกรณ์สวมใส่ (Wearable) เช่นการเข้าไปลงทุนใน The Richline Group ผู้ผลิตเครื่องประดับอัญมณี ซึ่งก่อนหน้านี้มีการใส่เทคโนโลยีการเชื่อมต่อลงไปในเครื่องประดับอัญมณีมีชื่อว่า ELA (Elegant Lifestyle Accessories)
ซึ่งเครื่องประดับอัญมณีเหล่านี้จะทำการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนและจะทำการเตือนด้วยการสั่นเมื่อมีสายเรียกเข้ามาหรือมีข้อความเข้ามา โดย วอร์เร็น มองว่า ธุรกิจเครื่องประดับอัญมณีเป็นธุรกิจที่มีความคลาสสิคและยังคงปลอดภัยในแง่การลงทุน เนื่องจากเป้นสินค้ามูลค่าสูงและยังมีความต้องการจากผู้ที่มีกำลังซื้ออย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญเครื่องประดับอัญมณีเหล่านี้จัดอยู่ในคอลเลคชั่นของสะสมของเศรษฐี จึงสามารถสร้างมูลค่าได้อย่างต่อเนื่อง การเพิ่มเทคโนโลยีเข้าไปก็เป็นเพิ่มมูลค่าให้กับตัวสินค้าที่มีมูลค่าอยู่แล้ว มันคือปรับเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ให้ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนในยุดปัจจุบันที่มากกว่าแค่การสวมใส่ไว้เพื่อความสวยงามเท่านั้น
นั่นคือสิ่งที่ต้องจับตาเมื่อคนอย่าง วอร์เร็น บัฟเฟตต์ มองเห็นอนาคตของเทคโนโลยี ก็เป็นไปได้ที่อนาคตอุตสาหกรรมเทคโนโลยีอุปกรณ์สวมใส่ (Wearable) จะเติบโตอย่างก้าวกระโดด จะอาจจะสามารถกลืนกินหรือผนวกรวมเทคโนโลยีอื่นๆ เข้ามารวมกันก็เป็นได้
Source : Entrepreneur