11 วิธีเอาชนะความขี้เกียจ และทำให้งานมีประสิทธิภาพมากขึ้น

  • 1.1K
  •  
  •  
  •  
  •  

เชื่อว่าหลายคนตอนนี้น่าจะอยู่ในช่วง Work from home ซึ่งบางบริษัทอาจจะใช้วิธีสลับทีมทำงานก็ได้ แต่อุปสรรคสำคัญอย่างหนึ่งของคนที่ WFH คือ “ความขี้เกียจ” ฟังแล้วอาจจะดูเป็นคำที่รุนแรงจัง แต่อยากให้เปิดใจยอมรับว่าคนเราทุกคนมีความขี้เกียจอยู่ในตัวจะมากจะน้อยก็มีอย่างแน่นอน และยิ่งถ้าต้องมาทำงานที่บ้าน ซึ่งมีสิ่งอำนวยเอื้อที่จะทำให้เรารู้สึกขี้เกียจได้บ่อยๆ ก็ยิ่งเป็นความท้าทายที่จะทำให้เราลุกขึ้นมาทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ดังนั้น เราจะขอแนะนำวิธีที่จะช่วยให้คุณเอาชนะไอ้เจ้าความขี้เกียจนี้ให้ได้ ซึ่งจะช่วยให้คุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถนำไปใช้ได้ตลอดแม้ว่าจะไม่ได้ WFH แล้วก็ตาม

 

ผลเสียจาก “ความขี้เกียจ”

แต่ก่อนจะไปถึงวิธีเอาชนะความขี้เกียจ ลองดูก่อนว่า ความขี้เกียจส่งผลเสียในเรื่องอะไรบ้าง

ความขี้เกียจบั่นทอนความคิดสร้างสรรค์: ยามที่คุณขี้เกียจ คุณมักจะอยากนั่งนิ่งๆ และไม่ทำอะไรเลย ซึ่งจะส่งผลต่อจิตใจของคุณและทำให้คุณหยุดที่จะเติมเสริมความรู้ใหม่ๆ และการหยุดคิดก็จะทำให้คุณล้มเหลวในความคิดสร้างสรรค์ต่างๆ ความสามารถในการรับข้อมูลใหม่ๆ เรื่องราวใหม่ๆ ของคุณจะลดลง เพราะว่าจิตใจของคุณขึ้นสนิมไปกับข้อมูลเก่าๆ ที่ไม่ได้ถูกขัดเกลาหรือเพิ่มเติมอะไรใหม่ๆ เลย

ความขี้เกียจอาจส่งผลร้ายต่อสุขภาพ: เพราะความขี้เกียจอาจทำให้ไม่มีการขยับด้านกายภาพ และอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ เนื่องจากไม่มีการขยับด้านกายภาพ กล้ามเนื้อ หรือว่ากระดูก คุณก็จะแข็งไม่ยืดหยุ่น และไม่มีการเติบโตหรือขยับที่ดีพอ จึงอาจจะนำมาสู่ปัญหาสุขภาพในช่วงอายุยังน้อยได้ ซึ่งหากว่าเกิดปัญหาด้านร่ากายแล้วแน่นอนว่าจะนำมาซึ่งปัญหาทางสุขภาพจิตใจด้วย พูดง่ายๆ ว่าส่งผลเสียต่อภาพรวมของสุขภาพของคุณนั่นเอง

ความขี้เกียจลดทอนความทะเยอทะยาน: เพราะความขี้เกียจจะมักจะบอกให้คุณไม่ต้องห่วงไม่ต้องกังวลเรื่องใดๆ ซึ่งแม้ว่าคุณจะมีเป้าหมายในการทำงาน แต่มันก็เป็นการยากที่คุณจะทำงานให้ถึงเป้าหมายที่ต้องการ และความขี้เกียจจะทำให้คุณติดนิสัยให้ทำงานไม่ถึงเป้าหมาย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อหน้าที่การงานในอนาคตได้

ความขี้เกียจทำให้ละเลยคนรอบข้าง: เพราะความขี้เกียจทำให้คุณเพิกเฉยไม่สนใจผู้คนรอบตัวในชีวิตคุณ ทำให้คุณไม่สนใจที่จะใช้เวลาหรือมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ คุณจะรู้สึกอยากหลีกเลี่ยงการพบปะผู้คนและแยกตัวออกจากคนอื่นๆ ซึ่งอาจนำไปสู่ความรู้สึกโดดเดี่ยวและเหงาได้ และสุดท้ายอาจจะนำไปสู่ความรู้สึกที่เป็นลบต่อตัวเอง

ลดทอดช่วงเวลาอันมีประสิทธิภาพลง: เมื่อคุณกลายเป็นคนขี้เกียจ เวลาส่วนใหญ่ของคุณมักจะเสียไปกับความสูญเปล่า อาจจะทำให้คุณพลาดช่วงเวลาสำคัญที่มีค่าในชีวิตมากมาย มากไปกว่านั้นความขี้เกียจยังเป็นสาเหตุทำให้คุณทำงานแบบผัดวัดประกันพรุ่ง งานส่วนใหญ่จะล่าช้าเกินกำหนด และนับตั้งแต่วินาทีที่คุณเริ่มขี้เกียจคือช่วงเวลาที่ลดทอดเวลาอันมีค่าของคุณไปทุกๆ นาที

 

11 วิธีในการเอาชนะ “ความขี้เกียจ”

1) ย่อยงานใหญ่งานยาก ให้เล็กลง

โดยส่วนใหญ่คุณมักจะหลีกเลี่ยงงานยากๆ เพราะว่าคุณมักจะคิดว่ามันใหญ่และซับซ้อนเกินไป คุณจึงรู้สึกกลัวที่จะทำหรือกลัวว่าจะทำไม่สำเร็จ ดังนั้น เมื่อคุณเริ่มทำงานที่ทั้งใหญ่และยาก ลองแยกย่อยมันลงให้เล็กลง คือแทนที่จะทำงานชิ้นโตๆ ทีเดียวเลย คุณอาจจะครีเอทโดยแยกย่อยมันลงมา เป็นงานที่จำเป็นทีละส่วนทีละส่วนจนมันค่อยๆ คอมพลีทเสร็จทุกส่วนไป ซึ่งวิธีแบบนี้จะช่วยแก้ปัญหาความขี้เกียจได้เพราะการแตกงานให้เล็กๆ ลง จะทำให้ความรู้สึกว่างานไม่ยากและทำเสร็จในเวลาไม่มาก

2) ค้นหาต้นเหตุแห่งความขี้เกียจ

เมื่อคุณเริ่มรู้สึกขี้เกียจ ลองนั่งทบทวนความรู้สึกและทำความเข้าใจกับตัวเองให้ดีๆ ว่าจริงๆ แล้วมันเกิดอะไรกับความรู้สึกนั้น เพราะบางทีความขี้เกียจอาจจะมีเหตุผลบางอย่างอยู่เบื้องหลังก็ได้ คุณอาจจะต้องนั่งหาเหตุผลถึงสาเหตุที่มันเกิดขึ้น เช่น คุณรู้สึกเหนื่อยล้า รู้สึกไม่มีแรงบันดาลใจ รู้สึกว่างานมันล้นมือเกินไป หรือว่ากลัวที่จะทำงานนั้นๆ และบางครั้งเหตุผลของความขี้เกียจก็อาจจะมาจากปัญหาเล็กๆ ที่คุณอาจจะนึกไม่ถึงและก็แก้ไม่ยากก็ได้ ดังนั้น เมื่อคุณทราบถึงสาเหตุของความขี้เกียจแล้ว คุณก็จะสามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุดและจัดการกับมันได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง

3) การตั้งเป้าหมาย

เมื่อคุณได้ตั้งเป้าหมายหรือตั้งเป้าความสำเร็จเอาไว้ ก็จะทำให้คุณมีบางสิ่งบางอย่างที่มุ่งไปสู่จุดหมายได้ เพราะถ้าคุณใช้ชีวิตหรือทำงานไปโดยปราศจากเป้าหมายหรือไม่ได้ตั้งเป้าอะไรเลย ก็จะกลายเป็นเหยื่อของความขี้เกียจได้ แต่การ set goal เอาไว้ ก็จะทำให้คุณมีจุดหมายและมีแรงบันดาลใจที่ก้าวไป ที่สำคัญคืออาจจะเป็นเรื่องที่ดีที่คุณจะเซ็ตเป้าหมายไว้ตลอดการทำงาน รวมไปถึงตั้งเป้าความฝันของคุณ ซึ่งหากทำเป็นกิจวัตรก็จะทำให้ลดความรู้สึกขี้เกียจน้อยลงไปทีละน้อยได้

4) มีแรงกระตุ้นอยู่ตลอดเวลา

บางครั้งความขี้เกียจจะมาจากการที่คุณไม่มีแรงกระตุ้นที่ดีพอในการทำงาน ดังนั้น อีกวิธีหนึ่งคือคุณต้องหาแรงกระตุ้นในการทำงานให้เจอ  เพื่อให้มีแรงบันดาลใจลุกขึ้นมาทำงาน แน่นอนว่าในเบื้องต้นมันสุดแสนจะยากที่จะเอาชนะความเฉื่อยชาของตัวเอง แต่หากว่าคุณได้ก้าวข้ามมันไปได้แล้วคุณก็จะสามารถทำทุกอย่างให้ง่ายขึ้นได้ และเมื่อเอาชนะได้แล้วคุณก็สามารถมุ่งไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ได้

ทิปส์: หากคุณรู้สึกว่าหมดแรงกระตุ้นการทำงาน ลองลับตาตั้งสมาธิสัก 5 วินาที แล้วจินตาการว่าถ้างานของคุณเสร็จคุณจะได้ประโยชน์อะไรบ้าง มันจะช่วยให้คุณเข้าใจถึงงานและไปสู่เป้าหมายได้เร็วขึ้น

5) คิดถึงอนาคต

ไม่แปลกที่จะบางเวลาที่เรารู้สึกขี้เกียจ แต่ก็อย่าให้นานนัก อาจจะพักเล็กน้อยคิดทบทวนตัวเองสัก 5 นาที เพื่อมองว่าอะไรคืออนาคตที่สำคัญของคุณ และเมื่อคุณมองเห็นแล้วประโยชน์ที่จะได้รับหากทำงานสำเร็จและถ้าได้ขจัดความขี้เกียจออกไป คุณก็จะมีแรงที่จะโฟกัสในการทำงานต่อไปได้ จะช่วยทำให้คุณมีแรงกระตุ้นที่จะทำงานและหลีกเลี่ยงที่จะติดกับดักแห่งความขี้เกียจนั้น

6) ทำทีละอย่าง

เวลาที่คุณรับงานมาหนักๆ ก็อาจะเป็นไปได้ที่จะทำให้คุณไม่สามารถเคลียร์งานได้เสร็จ การรับงานมากจนเกินไปมีส่วนทำลายขวัญและกำลังใจในการทำงาน ซึ่งเป็นสาเหตุให้คุณอยากจะหลีกหนีจากงานและรู้สึกขี้เกียจ ดังนั้น ถ้าคุณพยายามรับงานทีละน้อยและโฟกัสทีละอย่าง ก็จะทำให้สามารถทำงานได้ลุล่วงเพราะมันง่ายที่จะจัดการ ที่สำคัญคือ แรงกระตุ้นลักษณะนี้จะทำห้คุณมีสติและความขี้เกียจจะไม่มีผลใดๆ กับคุณ

7) พักผ่อนนอนหลับอย่างพอเพียง

บ่อยครั้งที่เวลาเรารู้สึกขี้เกียจ จะทำให้รู้สึกว่าอยากพักหรือหยุดบ่อยๆ ซึ่งท้ายสุดจะนำมาสู่อาการขี้เกียจ หรือขาดพลังงาน แรงกดดันหรือความเหนื่อยล้าจะทำให้ไฟในการทำงานค่อยๆ มอดทีละน้อย ดังนั้น การพักผ่อนจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับตัวเอง อาจจะเป็นการพักทีละน้อยระหว่างทำงานเพื่อทำให้ไม่เครียดหรือกดดันจนเกินไป การพักเบรกระหว่างทางคุณจะรู้สึกรีแล็กซ์และผ่อนคลาย และงานที่ออกมาก็จะประณีตมากขึ้นด้วย มากไปกวานั้น คุณจะรู้สึกเหมือนได้เติมเต็มพลังงานและมีแรงกระตุ้นให้ทำต่อไปจนเสร็จสิ้น หรือจบงานในแต่ละวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมไปถึงการนอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่ก็มีส่วนเติมเต็มพลังให้แก่การทำงานเช่นกัน จะทำให้คุณรู้สึกขี้เกียจได้ในตอนเช้ามีผลต่อพลังในการทำงาน ดังนั้น ทั้งการพักผ่อนและการนอนหลับอย่างเต็มประสิทธิภาพจะมีส่วนช่วยให้ลดความรู้สึกขี้เกียจได้

8) ออกกำลังกาย

ประโยชน์ของการออกกำลังกายมีมากมายนับไม่ถ้วน และหนึ่งในนั้นก็คือการที่ทำให้คงพลังงานเอเนอร์จี้ไว้ 24 ชั่วโมงในทุกๆ วัน ยิ่งถ้าคุณออกกำลังทุกวันเป็นประจำ จะช่วยการไหลเวียนโลหิตและการเจริญเติบโตของเมตาบอลิซึม นอกจากนี้ การศึกษายังพบว่า การออกกำลังสม่ำเสมอจะช่วยขจัดอาการขี้เกียจอีกด้วย แม้ว่าจะเกิดขึ้นกับคนวัยกลางคนแล้วก็ตาม การออกกำลังกายจะช่วยให้คงพลังงานเอาไว้ได้ตลอดทั้งวัน สามารถเอาชนะความขี้เกียจได้ระหว่างวันของการทาน ซึ่งถ้าตอนนี้ใครที่ยังลังเลเรื่องการออกกำลังกาย ไอเดียของการลดความขี้เกียจก็น่าจะเป็นแรงผลักดันให้ลุกขึ้นมาออกกำลังกายวันนี้ได้แล้วนะ

9) หนีจากสิ่งยั่วยุที่ทำให้สมาธิไขว้เขว

ระหว่างการทำงานอาจจะมีสิ่งยั่วยุเย้ายวนใจให้คุณหลุดจากโฟกัสการทำงานได้ เช่น การไถมือถือเล่น หรือลงไปคลุกกับน้องแมวที่บ้าน พูดคุยกับสัตว์เลี้ยงเป็นต้น ซึ่งสิ่งยั่วยุเหล่านี้จะทำให้คุณเสียเวลาทำงานไปมากทีเดียว ดังนั้น จึงควรที่จะหลีกเลี่ยงเส้นทางหรือโอกาสที่จะทำให้ไปพบกับสิ่งยั่วยุดังกล่าว เพราะจะทำให้คุณเสียสมาธิได้ง่ายและสูญเสียเวลาที่จะได้ทำงานตามเป้าหมายหรือทำงานที่อยู่ตรงหน้า ดังนั้น หลักพื้นฐานเลยก็คือหนีออกจากสิ่งยั่วยวนที่ก่อให้เกิดความรู้สึกขี้เกียจนั่นเอง

10) ทำงานน่าเบื่อให้สนุก

หลายครั้งคุณยอมจำนนต่อความขี้เกียจเพราะงานมันน่าเบื่อ หรืองานที่หมักหมมจนพอกพูนใช้เวลามากกว่าจะทำให้เสร็จ ดังนั้น เพื่อไม่ให้รู้สึกเบื่อหน่ายกับงานที่ทำตรงหน้า ก็อาจจะต้องหาวิธีหรือคนหนทางที่จะสร้างสรรค์ไม่ให้มันน่าเบื่อก็ได้ เช่น การเปิดเพลงระหว่างฟัง หรือการสร้างแรงกระตุ้นแรงบันดาลใจด้วยการฟังพ็อดแคสต์ดีๆ วิธีนี้ก็จะจะช่วยสปาร์กเอเนอจี้ให้กลับมาสะสางงานต่างๆ ได้ดี

11) การให้รางวัลกับตัวเอง

การให้รางวัลกับตัวเองเล็กๆ น้อยจะช่วยทำให้รู้สึกกระตุ้นให้อยากทำงานให้สำเร็จ เพราะคุณจะตั้งหน้าตั้งใจรอที่จะได้อิ่มเอมกับรางวัลที่จะได้รับ ซึ่งรางวัลนั้นก็ไม่จำเป็นต้องเป็นของใหญ่หรือของแพง อาจจะเป็นเพียงแค่ เค้กหนึ่งชิ้น ไอศกรีมรสช็อกโกแล็ต หรือแม้แต่การดูซีรีส์ดีๆ สักตอนหนึ่งก็ได้ การให้รางวัลกับตัวเองจะสร้างแรงกระตุ้นให้คุณก้าวข้ามความขี้เกียจ และสามารถจัดการกับงานตรงหน้าได้ง่ายขึ้น แล้วยังเป็นวิธีที่จะทำให้คุณไม่ต้องทำงานแบบผัดวันประกันพรุ่งอีกต่อไปด้วย

 

บทสรุป

ถึงแม้ว่า “ความขี้เกียจ” จะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร และทุกๆ คนก็สามารถมีวันที่อยากจะชิลล์อยากจะผ่อนคลายได้ (อย่างเช่นบทความนี้ เกี่ยวกับ “ความขี้เกียจ” ก็น่าสนใจมาก “วิเคราะห์พฤติกรรม ทำไม ‘คนขี้เกียจ’ ยังมีโอกาสประสบความสำเร็จไม่ต่างกัน!” )

อย่างไรก็ตาม ถ้ามันกลายเป็นกิจวัตรไปแล้วคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ ดังนั้น ก็ควรที่จะเอาชนะก้าวข้ามผ่านความขี้เกียจตรงนั้นให้ได้ และบางทีสิ่งนี้อาจจะมาช่วยเปลี่ยนวิธีการใช้ชีวิตของคุณ ทำให้คุณสุขภาพดีขึ้น ทำให้คุณประสบความสำเร็จในการทำงานก็ได้ และถ้าคุณคิดว่าคุณเริ่มขี้เกียจมากไปแล้วนะ ก็อาจจะลองทำตามทิปส์นี้ดูถ้าเห็นว่ามีประโยชน์ก็สามารถส่งต่อให้กับเพื่อนหรือคนใกล้ตัวเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้เขามีชีวิตที่ดีขึ้นได้ค่ะ.

 

Source: Enjoytimely

 


  • 1.1K
  •  
  •  
  •  
  •  
pigabyte
การเรียนรู้ไม่มีวันจบสิ้น มาเรียนรู้และสนุกไปกับบทความ จาก MarketingOops! กันนะคะ แล้วเราจะได้ค้นพบว่าโลกของ Marketing นั้น So Sexy and Cool!