รายงาน Global Traffic Scorecard 2017 ของ INRIX ยกตำแหน่งประเทศที่มีสภาพจราจรติดขัดที่สุดในโลกในแก่ไทย เฉลี่ยเสียเวลาชีวิตบนท้องถนนถึง 56 ชั่วโมงต่อปี และดูเหมือนปัญหาจะไม่ทุเลาลง ประเทศไทยผู้บริโภคส่วนหนึ่งดูเหมือนจะถือคติ “เจ็บแต่ไม่จำ ?” แม้จะรู้ว่ากรุงเทพฯ รถติดเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก แต่ผู้คนก็แห่กันซื้อรถยนต์อยู่ดี ซึ่งผู้ซื้อรถส่วนใหญ่มักจะเหตุผล “ก็มันสะดวกสบายกว่า” ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าระบบขนส่งสาธารณะที่มีอยู่ ไม่สามารถตอบโจทย์ประชาชนได้ดีพอเท่าที่ควร
ช่วงหลายปีมานี้ ธุรกิจ Bike Sharing ที่เติบโตได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อในต่างประเทศ พยายามบุกตลาดประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางสภาพจราจรที่ติดขัด หลายเจ้าเริ่มต้นการเปิดในบริการในพื้นที่เล็ก ๆ ก่อน อาทิ เขตชุมชน สวนสาธารณะ หรือบริเวณมหาวิทยาลัย แม้ผู้คนส่วนใหญ่จะรู้ถึงข้อดีของการขับขี่รถจักรยาน ทั้งได้ออกกำลังกาย การลดคาร์บอนไดออกไซด์ ลดการใช้พลังงาน และประหยัดค่าใช้จ่ายกว่า แต่กระแสของธุรกิจกลับเงียบมาก ถ้ามองในมุมของยูสเซอร์จะพบปัญหาหลายประการที่ทำให้ผู้บริโภคปฏิเสธใช้บริการ Bike Sharing ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศที่ร้อนระอุ และพื้นที่ขับขี่รถจักรยานบนท้องถนนที่มีจำนานน้อยและมักถูกแทนที่ด้วยร้านขายอาหาร (เถื่อน)
Uber’s e-bikes กระแสดีเยี่ยม
Uber’s หนึ่งในแพลตฟอร์มเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมจำนวนมากระดับโลก ทำหน้าที่เชื่อมต่อพาร์ทเนอร์คนขับรถและผู้โดยสารเข้าด้วยกัน ช่วงไม่กี่เดือนมานี้ Uber ซื้อกิจการของ Jump Bikes เพื่อเตรียมขยายตลาดไปยังต่างประเทศในหัวเมืองใหญ่ ซึ่งในช่วงแรก Uber ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า การเปิดตัว Bike Sharing จะกลายเป็นดาบสองคมกลับมาทำลายบริการอื่น ๆ ของตนเอง
หลังจากที่ Uber เริ่มเปิดให้ผู้ใช้จองการ Jump bike ผ่านแอปพลิเคชัน เมื่อวันที่ 1 กรกฏาคมที่ผ่านมาในซานฟรานซิสโก พบว่า ผู้ใช้บริการผ่านแอปฯ โตขึ้น 15% จำนวนผู้ใช้รถยนต์ส่วนตัวลดลง 10% ดูเหมือนจะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งกลุ่มองค์กรเกี่ยวกับทรัพยากรต่างเชียร์และผลักดันให้มี Bike Sharing มากขึ้น เพื่อลดความแออัดและการปล่อยมลพิษ
จากตารางจะเห็นได้ว่าในบางช่วงเวลามีผู้ใช้บริการ Jump bike มากว่าบริการ Uber ที่เป็นรถยนต์เสียอีก
ที่มา : money.cnn.com
